ปฏิทิน
นาฬิกา
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
ไทยใหญ่ : คนไทยที่ไม่ใช่ไทย
ชาวไทยใหญ่ หรือ ฉาน หรือ ฌาน เป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเขตพม่า ตอนใต้จีน และภาคเหนือของประเทศไทย บางท่านว่าคำว่า ฉาน คือที่มาของคำว่า สยามในพม่ามีรัฐใหญ่ของชาวไทยใหญ่ ชื่อ ฉานเสตท SHAN STATE ในปีพ.ศ. 2491รัฐบาลพม่าได้ผนวกดินแดนรัฐฉานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่าตามข้อตกลง ของสนธิสัญญาปางโหลง ซึ่งลงนามโดย อู อองซาน ร่วมกับผู้แทนชนกลุ่มน้อยรัฐฉานเพื่อการหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โดยมีเงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลพม่าจะยอมให้ชนกลุ่มน้อยปกครองตนเองและเป็นเอกราช เพื่อพ้นระยะเวลาสิบปี
ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. 2500 ซึ่งครบกำหนดสิบปีของสัญญารัฐบาลพม่ากลับเพิกเฉย ชนกลุ่มน้อยจึงถือว่ารัฐบาลพม่าผิดคำมั่นสัญญา จึงเป็นมูลเหตุให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลพม่าอย่างเปิดเผย โดยมีพื้นที่แต่ละชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เป็นฐานที่มั่นทางการพม่าทำการปราบ ปรามเกิดเป็นการสู้รบและสงครามที่ยืดเยื้อ ปัญหาเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาลพม่าของชนกลุ่มน้อยจึงเรื้อรังสืบเนื่องมาจน ทุกวันนี้และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงตลอดแนวชายแดน ไทย-พม่าโดยอาณาเขตของรัฐฉานนั้นติดกับแนวชายแดนไทยตั้งแต่บริเวณจังหวัด แม่ฮ่องสอนมาจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ในอำเภอเวียงแหง อำเภอฝางและอำเภอเชียงดาวและสิ้นสุดที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายด้วยความ ไม่สงบในพม่า การปกครองที่ไม่เรียบร้อย และการสู้รบ ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนไม่น้อยอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย
ชาวไทยใหญ่เหล่านี้เป็นผู้ลี้ภัย ที่หวังพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ(UNHCR)ได้ร่วม กันจัดทำทะเบียนและการช่วยเหลือด้านอื่นๆตามความจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามข้อ ตกลงการทำงาน(Working Arrangement) 7 ประการ ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับUNHCR โดยลงนาม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
ข้อตกลง 7 ประการได้แก่
1. การพิจารณารับเข้าลี้ภัย เจ้าหน้าที่ไทยมีสิทธิ์ให้หรือปฏิเสธการให้ที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีการคัดกรองสถานภาพผู้ลี้ภัยเมื่อมาถึง
2. การลงทะเบียน กระทรวงมหาดไทยจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ช่วยการลงทะเบียนในพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งตัวออกนอกประเทศ โดยให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ไม่อนุญาตให้ปลูกสร้างขึ้นใหม่
3. การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กระทรวงมหาดไทยหรือทหารเป็นหน่วยงานที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้า หลวงใหญ่ฯ เข้าถึงพื้นที่พักพิงได้อย่างเสรีและไม่ชักช้าโดยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ส่วน กลาง ของไทยทราบล่วงหน้าก่อนในแต่ละครั้ง
4. การส่งตัวออกนอกประเทศ ไทยยินดีให้โอกาสแก่ผู้พลัดถิ่นที่จะเลือกกลับได้โดยเจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือ ทหาร จะช่วยประสานการกลับที่ปลอดภัย และเชิญเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ มาเป็นพยานและตรวจสอบความสมัครใจโดยไม่ขัดขวางกระบวนการเช่นให้สอบถามหัว หน้าครอบครัวมากกว่าถามเป็นบุคคล เมื่อสภาพการณ์เอื้ออำนวยต่อการส่งตัวกลับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวง ใหญ่ฯจะช่วยจัดการในการส่งตัวกลับโดยสมัครใจภายใต้การอนุญาตของรัฐบาลพม่า และดูแลการกลับพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกการกลับคืนถิ่นในประเทศพม่า
5. การย้ายพื้นที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือทหารมีสิทธ์ดำเนินการให้เป็นไปตามการตัดสินใจของ รัฐบาลไทยในการย้ายส่วนผู้พลัดถิ่นมีสองทางเลือกคือถูกย้ายหรือกลับพม่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯสนับสนุนการตัดสินใจของไทยและช่วยเคลื่อนย้ายผู้พลัด ถิ่นวัสดุที่พัก น้ำดื่ม รั้วและสิ่งอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย และการลงทะเบียน
6. ตัวแปรในการช่วยเหลือของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ การช่วยเหลือทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทย กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำกับ ดูแลให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและจัดการพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำนักงาน ข้าหลวงใหญ่ฯอาจให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเติมแก่พื้นที่พักพิงชั่วคราวได้เพียงพอแก่ความต้องการพื้นฐาน ของชีวิตเท่านั้นเพื่อป้องกันแรง ดึงดูดใจผ่านทางรัฐบาลไทยและประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดเตรียมความช่วย เหลือดังกล่าว
7. ยุทธศาสตร์ระยะยาว คณะอนุกรรมการไทย-พม่าด้านบุคคลพลัดถิ่นและแรงงานผิดกฎหมายจะเป็นผู้จัดทำ ยุทธศาสตร์ หรือแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ จะเจรจากับพม่าเพื่อสร้างความมั่นใจ ในบทบาทของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ในการดูแลการส่งกลับอย่างปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือในการตั้งถิ่นฐานโดย เร็ว โดยสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจแก่รัฐบาลพม่าคนไทยใหญ่จำนวนนับหมื่นคนลี้ภัย เข้ามาในประเทศไทย เพิ่งเข้ามาบ้าง เข้ามานานแล้วบ้าง แต่รัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนกับคนเหล่านี้ไม่มีการกำหนดให้ไทยใหญ่เป็น ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย และไม่ยอมรับให้คนกลุ่มนี้เป็นคนไทยรวมทั้งไม่ยอมรับว่า กลุ่มไทยใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่รัฐไทยต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม เพื่อรอการส่งกลับประเทศต้นทางเมื่อประเทศต้นทางมีความปลอดภัยเมื่อรัฐไม่ จัดพื้นที่พักพิงชั่วคราวไว้รองรับที่ชายแดน ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากทะลักเข้าสู่ตัวเมืองด้านในเครือข่ายปฏิบัติงาน เพื่อผู้หญิงชาวไทยใหญ่หรือ สวอน ได้เคยตอบไว้ในเอกสารเรื่อง "ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ (ฉาน)" เมื่อปี 2546 ว่าเป็นเพราะรัฐไทยมีความเชื่อผิดๆ เก้าประการดังต่อไปนี้
ประการแรก ชาวไทยใหญ่เป็นแรงงานอพยพไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ในความเป็นจริง ชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาในเมืองไทยหลังจากเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เป็นผู้หนีภัยการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งบังคับให้ประชาชนย้ายออกจากหมู่บ้าน 1,400 แห่งทางภาคกลางของรัฐฉาน ทำให้ประชาชนมากกว่า 3 แสนคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก ชาวไทยใหญ่จำนวนมากได้อพยพครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ที่มิได้อยู่ในวัยแรงงานมาในเมืองไทย
ประการที่สอง ชาวไทยใหญ่เป็น "พี่น้อง" กับคนไทย จึงผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทยได้โดยง่าย และไม่ต้องการแหล่งพักพิงหรือความช่วยเหลือใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวไทยใหญ่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในฐานะคนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เด็ก ผู้หญิง คนชรา และคนพิการ มีความต้องการแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเป็น อย่างมาก
ประการที่สาม ประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญา สหประชาชาติปี พ.ศ. 2494 ว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ลี้ภัยจึงไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ที่จะต้องให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ แต่เนื่องจากประเทศไทยมีพันธะผูกพันตามหลักกฎหมายสากลและมาตรฐานทางด้าน มนุษยธรรม ซึ่งไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทว่า ประเทศไทยกลับจัดหาที่พักพิงให้กับผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น ๆ อาทิ กลุ่มกะเหรี่ยง และกลุ่มคะยาห์ โดยละเลยกลุ่มไทยใหญ่
ประการที่สี่ หากมีการรณรงค์ให้มีการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ จะทำให้หน่วยงานที่ไม่ต้องการให้มีค่ายผู้ลี้ภัยเกิดความไม่พอใจจนทำให้มี การกวาดล้างชาวไทยใหญ่มากยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากการเรียกร้องให้มีสถานที่พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบเมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ได้รับอนุญาตให้มีที่พักอาศัยชั่วคราว และได้รับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น
ประการที่ห้า ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ขนยาเสพติด ก่อ อาชญากรรม และนำโรคติดต่อมาสู่ประเทศไทย ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ นับเป็นจำนวนน้อยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นและต้องการดิ้นรนเพื่อ ความอยู่รอดของครอบครัวที่อพยพมาทั้งหมด การจัดที่พักพิงและให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจะเป็นหลักประกันพื้น ฐานที่ทำให้ผู้ลี้ภัยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ยาเสพติดเพื่อความอยู่รอด และสามารถควบคุมปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและการก่ออาชญากรรมได้มากขึ้น
ประการที่หก การให้การรับรองสถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวไทยใหญ่จะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ ผู้ลี้ภัยจากรัฐฉานหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การแก้ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย คือ การกดดันให้รัฐบาลทหารพม่ายุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ การจัดหาค่ายให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จะทำให้รัฐบาลไทยสามารถควบคุมปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยไหลทะลักเข้ามาและอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเมื่อประเทศพม่าได้รับสันติภาพ การส่งตัวกลับจะทำได้ง่ายกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่อย่างกระจัด กระจาย
ประการที่เจ็ด ประเทศไทยต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการสร้างค่ายและการให้ความช่วย เหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวไทยใหญ่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นเงินบริจาคจากองค์กรระหว่างประเทศทั้ง สิ้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องรับภาระมีเพียงค่าจ้างบุคลากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ประการที่แปด ผู้ลี้ภัยเป็นผู้ทำลายสภาพแวดล้อม หลักฐานที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนว่า ผู้ลี้ภัยเป็นเพียงแพะรับบาปของนายทุนไทยรายใหญ่เท่านั้น และชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยถูกควบคุมเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มงวดมาโดย ตลอด
ประการสุดท้าย ค่ายจะถูกนำไปใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังของกลุ่มต่อต้านเพื่อเข้าไปใช้กำลัง ต่อสู้ในประเทศพม่า เนื่องจากสงครามกลางเมืองในรัฐฉานเกิดจากความขัดแย้งภายใน พม่า การมีค่ายผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดการดำรงอยู่ของความขัดแย้งดัง กล่าว ในทางกลับกัน การขาดแหล่งลี้ภัยและความช่วยเหลือต่าง ๆ กลับจะทำให้ชาวไทยใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น และหันกลับไปจับอาวุธปืนต่อสู้กับรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นทำให้วงจรความรุนแรงในรัฐฉานยังคงดำเนินต่อไป และทำให้มีชาวไทยใหญ่ไหลทะลักมาในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น
จากข้อมูลที่สรุปมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่เราจะนำมาตร วัดอันเดียวมาตัดสิน แต่เราคงจำเป็นต้องชั่ง ตวง วัด น้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ อย่างสมดุล โดยเฉพาะน้ำหนักระหว่าง "มนุษยธรรม" กับ "ความมั่นคง" บนเส้นเขตแดนที่มนุษย์เพิ่งกำหนดขึ้นมาภายหลัง ที่สำคัญคือ ต้องยอมรับความจริง และหันหน้าเข้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามเพิ่มขึ้น ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศไทยของเราเอง
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า
1. การที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ ลี้ภัย ปี ค.ศ. 1951 หรือไม่นั้น มีความสำคัญมาก แต่ความรับผิดชอบ การตระหนักถึงหลักมนุษยธรรม และความจริงใจของรัฐในการแก้ไขปัญหาในด้านผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-พม่ามี ความสำคัญมากกว่า
2. รัฐควรเพิ่มข้อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจากการสู้รบ จากเดิมที่รัฐจะรับให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้หนีภัยความตายที่หนีภัยจากการ สู้รบที่เป็นภัยที่ถึงแก่ชีวิตโดยตรงอันเนื่องมาจากสงครามการเมืองเท่านั้น ซึ่งควรเพิ่มการพิจารณารวมไปถึงผู้ที่หนีภัยความตายในรูปแบบอื่นด้วย เช่น การหนีภัยความตายโดยอ้อม ภัยความตายโดยอ้อมนั้นได้แก่ ภัยจากการถูกข่มขืน ภัยจากการบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งการคุกคามดังกล่าวนำไปสู่การทารุณร่างกายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นรุนแรง สมควรได้รับการคุ้มครองดูแลเฉกเช่นเดียวกันผู้หนีภัยการสู้รบด้วย เนื่องจากเป็นภัยจากสงครามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
3. การไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม ในการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบที่เป็นชาวไทยใหญ่นั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติของรัฐบาล เนื่องจากรัฐยกเว้นชาวไทยใหญ่มิให้ได้สถานะทางกฏหมายและปฏิเสธการให้การดูแล อย่างเท่าเทียมกับผู้หนีภัยการสู้รบเชื้อชาติอื่นๆ ที่หนีภัยการสู้รบเข้ามาจากพม่า ซึ่งผู้หนีภัยการสู้รับที่เป็นชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่หนีเข้ามาล้วนได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลทหารพม่าเลวร้ายไม่แตกต่างกัน ดังนั้นรัฐควรเร่งพิจารณาการวางนโยบายในด้านการช่วยเหลือผู้อพยพที่เป็นชาว ไทยใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม
4. รัฐควรเปิดโอกาสให้ UNHCR และองค์กรเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้ตามความเหมาะสมภายใต้การควบคุมของ รัฐบาลซึ่งทำให้รัฐไม่ต้องรับภาระในการจัดการดังกล่าวอีกทั้งยังเป็นการร่วม กันพัฒนาพื้นที่ชนบทที่อยู่ตามแนวชายแดนอีกทางหนึ่งด้วย
5. รัฐควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หนี ภัยการสู้รบเชื้อชาติต่างๆที่เข้ามาในประเทศไทยทั้งในส่วนของพื้นที่พักพิง ชั่วคราว 9แห่งและผู้หนีภัยการสู้รบที่อยู่นอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่ใช้ชีวิตร่วม สังคมเดียวกันกับประชาชนไทยเพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั้งสองประเทศ เช่น ทำข้อมูลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบผ่านทางเวปไซด์ของ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและปรับปรุงข้อมูลใหม่อยู่เสมอเพื่อสร้างความ เข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งหากกลไกลของสังคมเช่น นักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเข้าใจที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงแล้วย่อมจะเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลวางนโยบายที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
6. รัฐควรสนับสนุนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่าง จริงจัง เนื่องจากสังคมไทยส่วนหนึ่งยังมีอคติต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพม่าที่คนไทยมองว่าเป็นศัตรูตามประวัติศาสตร์การสู้รบสมัยกรุง ศรีอยุธยาซึ่งส่งผลให้ความรู้สึกเรื่องความเป็นชาตินั้นมีผลในระดับลึกถึง จิตใจของคนไทยและส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกและดูหมิ่นชนกลุ่มน้อยที่มาจาก ประเทศพม่าว่าเป็นคนที่ต้อยต่ำ ประกอบกับอาชีพที่ชนกลุ่มน้อยได้รับในประเทศไทยนั้นมักเป็นอาชีพใช้แรงงาน บ้างก็เป็นสาวใช้ในบ้าน ยิ่งเป็นการตอกย้ำการดูแคลนชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แทนที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเข้าใจ ความเห็นใจและมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันข้ามผ่านพรมแดนของรัฐชาติที่ถูก สมมติขึ้นมา
ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. 2500 ซึ่งครบกำหนดสิบปีของสัญญารัฐบาลพม่ากลับเพิกเฉย ชนกลุ่มน้อยจึงถือว่ารัฐบาลพม่าผิดคำมั่นสัญญา จึงเป็นมูลเหตุให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลพม่าอย่างเปิดเผย โดยมีพื้นที่แต่ละชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เป็นฐานที่มั่นทางการพม่าทำการปราบ ปรามเกิดเป็นการสู้รบและสงครามที่ยืดเยื้อ ปัญหาเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาลพม่าของชนกลุ่มน้อยจึงเรื้อรังสืบเนื่องมาจน ทุกวันนี้และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงตลอดแนวชายแดน ไทย-พม่าโดยอาณาเขตของรัฐฉานนั้นติดกับแนวชายแดนไทยตั้งแต่บริเวณจังหวัด แม่ฮ่องสอนมาจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ในอำเภอเวียงแหง อำเภอฝางและอำเภอเชียงดาวและสิ้นสุดที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายด้วยความ ไม่สงบในพม่า การปกครองที่ไม่เรียบร้อย และการสู้รบ ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนไม่น้อยอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย
ชาวไทยใหญ่เหล่านี้เป็นผู้ลี้ภัย ที่หวังพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ(UNHCR)ได้ร่วม กันจัดทำทะเบียนและการช่วยเหลือด้านอื่นๆตามความจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามข้อ ตกลงการทำงาน(Working Arrangement) 7 ประการ ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับUNHCR โดยลงนาม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
ข้อตกลง 7 ประการได้แก่
1. การพิจารณารับเข้าลี้ภัย เจ้าหน้าที่ไทยมีสิทธิ์ให้หรือปฏิเสธการให้ที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีการคัดกรองสถานภาพผู้ลี้ภัยเมื่อมาถึง
2. การลงทะเบียน กระทรวงมหาดไทยจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ช่วยการลงทะเบียนในพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งตัวออกนอกประเทศ โดยให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ไม่อนุญาตให้ปลูกสร้างขึ้นใหม่
3. การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กระทรวงมหาดไทยหรือทหารเป็นหน่วยงานที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้า หลวงใหญ่ฯ เข้าถึงพื้นที่พักพิงได้อย่างเสรีและไม่ชักช้าโดยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ส่วน กลาง ของไทยทราบล่วงหน้าก่อนในแต่ละครั้ง
4. การส่งตัวออกนอกประเทศ ไทยยินดีให้โอกาสแก่ผู้พลัดถิ่นที่จะเลือกกลับได้โดยเจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือ ทหาร จะช่วยประสานการกลับที่ปลอดภัย และเชิญเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ มาเป็นพยานและตรวจสอบความสมัครใจโดยไม่ขัดขวางกระบวนการเช่นให้สอบถามหัว หน้าครอบครัวมากกว่าถามเป็นบุคคล เมื่อสภาพการณ์เอื้ออำนวยต่อการส่งตัวกลับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวง ใหญ่ฯจะช่วยจัดการในการส่งตัวกลับโดยสมัครใจภายใต้การอนุญาตของรัฐบาลพม่า และดูแลการกลับพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกการกลับคืนถิ่นในประเทศพม่า
5. การย้ายพื้นที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือทหารมีสิทธ์ดำเนินการให้เป็นไปตามการตัดสินใจของ รัฐบาลไทยในการย้ายส่วนผู้พลัดถิ่นมีสองทางเลือกคือถูกย้ายหรือกลับพม่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯสนับสนุนการตัดสินใจของไทยและช่วยเคลื่อนย้ายผู้พลัด ถิ่นวัสดุที่พัก น้ำดื่ม รั้วและสิ่งอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย และการลงทะเบียน
6. ตัวแปรในการช่วยเหลือของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ การช่วยเหลือทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทย กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำกับ ดูแลให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและจัดการพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำนักงาน ข้าหลวงใหญ่ฯอาจให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเติมแก่พื้นที่พักพิงชั่วคราวได้เพียงพอแก่ความต้องการพื้นฐาน ของชีวิตเท่านั้นเพื่อป้องกันแรง ดึงดูดใจผ่านทางรัฐบาลไทยและประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดเตรียมความช่วย เหลือดังกล่าว
7. ยุทธศาสตร์ระยะยาว คณะอนุกรรมการไทย-พม่าด้านบุคคลพลัดถิ่นและแรงงานผิดกฎหมายจะเป็นผู้จัดทำ ยุทธศาสตร์ หรือแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ จะเจรจากับพม่าเพื่อสร้างความมั่นใจ ในบทบาทของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ในการดูแลการส่งกลับอย่างปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือในการตั้งถิ่นฐานโดย เร็ว โดยสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจแก่รัฐบาลพม่าคนไทยใหญ่จำนวนนับหมื่นคนลี้ภัย เข้ามาในประเทศไทย เพิ่งเข้ามาบ้าง เข้ามานานแล้วบ้าง แต่รัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนกับคนเหล่านี้ไม่มีการกำหนดให้ไทยใหญ่เป็น ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย และไม่ยอมรับให้คนกลุ่มนี้เป็นคนไทยรวมทั้งไม่ยอมรับว่า กลุ่มไทยใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่รัฐไทยต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม เพื่อรอการส่งกลับประเทศต้นทางเมื่อประเทศต้นทางมีความปลอดภัยเมื่อรัฐไม่ จัดพื้นที่พักพิงชั่วคราวไว้รองรับที่ชายแดน ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากทะลักเข้าสู่ตัวเมืองด้านในเครือข่ายปฏิบัติงาน เพื่อผู้หญิงชาวไทยใหญ่หรือ สวอน ได้เคยตอบไว้ในเอกสารเรื่อง "ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ (ฉาน)" เมื่อปี 2546 ว่าเป็นเพราะรัฐไทยมีความเชื่อผิดๆ เก้าประการดังต่อไปนี้
ประการแรก ชาวไทยใหญ่เป็นแรงงานอพยพไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ในความเป็นจริง ชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาในเมืองไทยหลังจากเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เป็นผู้หนีภัยการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งบังคับให้ประชาชนย้ายออกจากหมู่บ้าน 1,400 แห่งทางภาคกลางของรัฐฉาน ทำให้ประชาชนมากกว่า 3 แสนคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก ชาวไทยใหญ่จำนวนมากได้อพยพครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ที่มิได้อยู่ในวัยแรงงานมาในเมืองไทย
ประการที่สอง ชาวไทยใหญ่เป็น "พี่น้อง" กับคนไทย จึงผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทยได้โดยง่าย และไม่ต้องการแหล่งพักพิงหรือความช่วยเหลือใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวไทยใหญ่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในฐานะคนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เด็ก ผู้หญิง คนชรา และคนพิการ มีความต้องการแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเป็น อย่างมาก
ประการที่สาม ประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญา สหประชาชาติปี พ.ศ. 2494 ว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ลี้ภัยจึงไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ที่จะต้องให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ แต่เนื่องจากประเทศไทยมีพันธะผูกพันตามหลักกฎหมายสากลและมาตรฐานทางด้าน มนุษยธรรม ซึ่งไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทว่า ประเทศไทยกลับจัดหาที่พักพิงให้กับผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น ๆ อาทิ กลุ่มกะเหรี่ยง และกลุ่มคะยาห์ โดยละเลยกลุ่มไทยใหญ่
ประการที่สี่ หากมีการรณรงค์ให้มีการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ จะทำให้หน่วยงานที่ไม่ต้องการให้มีค่ายผู้ลี้ภัยเกิดความไม่พอใจจนทำให้มี การกวาดล้างชาวไทยใหญ่มากยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากการเรียกร้องให้มีสถานที่พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบเมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ได้รับอนุญาตให้มีที่พักอาศัยชั่วคราว และได้รับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น
ประการที่ห้า ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ขนยาเสพติด ก่อ อาชญากรรม และนำโรคติดต่อมาสู่ประเทศไทย ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ นับเป็นจำนวนน้อยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นและต้องการดิ้นรนเพื่อ ความอยู่รอดของครอบครัวที่อพยพมาทั้งหมด การจัดที่พักพิงและให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจะเป็นหลักประกันพื้น ฐานที่ทำให้ผู้ลี้ภัยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ยาเสพติดเพื่อความอยู่รอด และสามารถควบคุมปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและการก่ออาชญากรรมได้มากขึ้น
ประการที่หก การให้การรับรองสถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวไทยใหญ่จะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ ผู้ลี้ภัยจากรัฐฉานหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การแก้ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย คือ การกดดันให้รัฐบาลทหารพม่ายุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ การจัดหาค่ายให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จะทำให้รัฐบาลไทยสามารถควบคุมปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยไหลทะลักเข้ามาและอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเมื่อประเทศพม่าได้รับสันติภาพ การส่งตัวกลับจะทำได้ง่ายกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่อย่างกระจัด กระจาย
ประการที่เจ็ด ประเทศไทยต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการสร้างค่ายและการให้ความช่วย เหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวไทยใหญ่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นเงินบริจาคจากองค์กรระหว่างประเทศทั้ง สิ้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องรับภาระมีเพียงค่าจ้างบุคลากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ประการที่แปด ผู้ลี้ภัยเป็นผู้ทำลายสภาพแวดล้อม หลักฐานที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนว่า ผู้ลี้ภัยเป็นเพียงแพะรับบาปของนายทุนไทยรายใหญ่เท่านั้น และชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยถูกควบคุมเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มงวดมาโดย ตลอด
ประการสุดท้าย ค่ายจะถูกนำไปใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังของกลุ่มต่อต้านเพื่อเข้าไปใช้กำลัง ต่อสู้ในประเทศพม่า เนื่องจากสงครามกลางเมืองในรัฐฉานเกิดจากความขัดแย้งภายใน พม่า การมีค่ายผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดการดำรงอยู่ของความขัดแย้งดัง กล่าว ในทางกลับกัน การขาดแหล่งลี้ภัยและความช่วยเหลือต่าง ๆ กลับจะทำให้ชาวไทยใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น และหันกลับไปจับอาวุธปืนต่อสู้กับรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นทำให้วงจรความรุนแรงในรัฐฉานยังคงดำเนินต่อไป และทำให้มีชาวไทยใหญ่ไหลทะลักมาในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น
จากข้อมูลที่สรุปมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่เราจะนำมาตร วัดอันเดียวมาตัดสิน แต่เราคงจำเป็นต้องชั่ง ตวง วัด น้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ อย่างสมดุล โดยเฉพาะน้ำหนักระหว่าง "มนุษยธรรม" กับ "ความมั่นคง" บนเส้นเขตแดนที่มนุษย์เพิ่งกำหนดขึ้นมาภายหลัง ที่สำคัญคือ ต้องยอมรับความจริง และหันหน้าเข้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามเพิ่มขึ้น ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศไทยของเราเอง
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า
1. การที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ ลี้ภัย ปี ค.ศ. 1951 หรือไม่นั้น มีความสำคัญมาก แต่ความรับผิดชอบ การตระหนักถึงหลักมนุษยธรรม และความจริงใจของรัฐในการแก้ไขปัญหาในด้านผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-พม่ามี ความสำคัญมากกว่า
2. รัฐควรเพิ่มข้อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจากการสู้รบ จากเดิมที่รัฐจะรับให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้หนีภัยความตายที่หนีภัยจากการ สู้รบที่เป็นภัยที่ถึงแก่ชีวิตโดยตรงอันเนื่องมาจากสงครามการเมืองเท่านั้น ซึ่งควรเพิ่มการพิจารณารวมไปถึงผู้ที่หนีภัยความตายในรูปแบบอื่นด้วย เช่น การหนีภัยความตายโดยอ้อม ภัยความตายโดยอ้อมนั้นได้แก่ ภัยจากการถูกข่มขืน ภัยจากการบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งการคุกคามดังกล่าวนำไปสู่การทารุณร่างกายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นรุนแรง สมควรได้รับการคุ้มครองดูแลเฉกเช่นเดียวกันผู้หนีภัยการสู้รบด้วย เนื่องจากเป็นภัยจากสงครามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน
3. การไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม ในการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบที่เป็นชาวไทยใหญ่นั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติของรัฐบาล เนื่องจากรัฐยกเว้นชาวไทยใหญ่มิให้ได้สถานะทางกฏหมายและปฏิเสธการให้การดูแล อย่างเท่าเทียมกับผู้หนีภัยการสู้รบเชื้อชาติอื่นๆ ที่หนีภัยการสู้รบเข้ามาจากพม่า ซึ่งผู้หนีภัยการสู้รับที่เป็นชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่หนีเข้ามาล้วนได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลทหารพม่าเลวร้ายไม่แตกต่างกัน ดังนั้นรัฐควรเร่งพิจารณาการวางนโยบายในด้านการช่วยเหลือผู้อพยพที่เป็นชาว ไทยใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม
4. รัฐควรเปิดโอกาสให้ UNHCR และองค์กรเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้ตามความเหมาะสมภายใต้การควบคุมของ รัฐบาลซึ่งทำให้รัฐไม่ต้องรับภาระในการจัดการดังกล่าวอีกทั้งยังเป็นการร่วม กันพัฒนาพื้นที่ชนบทที่อยู่ตามแนวชายแดนอีกทางหนึ่งด้วย
5. รัฐควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หนี ภัยการสู้รบเชื้อชาติต่างๆที่เข้ามาในประเทศไทยทั้งในส่วนของพื้นที่พักพิง ชั่วคราว 9แห่งและผู้หนีภัยการสู้รบที่อยู่นอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่ใช้ชีวิตร่วม สังคมเดียวกันกับประชาชนไทยเพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั้งสองประเทศ เช่น ทำข้อมูลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบผ่านทางเวปไซด์ของ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและปรับปรุงข้อมูลใหม่อยู่เสมอเพื่อสร้างความ เข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งหากกลไกลของสังคมเช่น นักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเข้าใจที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงแล้วย่อมจะเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลวางนโยบายที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
6. รัฐควรสนับสนุนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่าง จริงจัง เนื่องจากสังคมไทยส่วนหนึ่งยังมีอคติต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพม่าที่คนไทยมองว่าเป็นศัตรูตามประวัติศาสตร์การสู้รบสมัยกรุง ศรีอยุธยาซึ่งส่งผลให้ความรู้สึกเรื่องความเป็นชาตินั้นมีผลในระดับลึกถึง จิตใจของคนไทยและส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกและดูหมิ่นชนกลุ่มน้อยที่มาจาก ประเทศพม่าว่าเป็นคนที่ต้อยต่ำ ประกอบกับอาชีพที่ชนกลุ่มน้อยได้รับในประเทศไทยนั้นมักเป็นอาชีพใช้แรงงาน บ้างก็เป็นสาวใช้ในบ้าน ยิ่งเป็นการตอกย้ำการดูแคลนชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แทนที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเข้าใจ ความเห็นใจและมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันข้ามผ่านพรมแดนของรัฐชาติที่ถูก สมมติขึ้นมา
ผักที่เรากินมาจากส่วนไหนของพืช

รู้หรือไม่ ผักที่เรากินๆ กันอยู่ทุกๆวัน หรือบางคนแทบไม่กินเลย ไม่ได้มาจากใบ แต่มาจากส่วนต่างๆ เกือบทุกส่วนของพืช แล้วเพื่อนๆ แยกออกหรือไม่ว่า ส่วนไหนมาจากส่วนไหน วันนี้เราจะมาดูพืชยิดนิยมที่เรากินกัน และ มันมาจากส่วนใดของพืช จะได้เป็น เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ
* ขิง, ข่า, ขมิ้น, มันฝรั่ง, เผือก, แห้ว มาจากลำต้น
* กระชาย, มันแกว, แครอท, หัวไชเท้า, มันเทศ คือ ราก
* ส่วนอีกอันที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นราก คือหอมหัวใหญ่ จริงๆมันคือ ใบต่างหาก
หวังว่าคงได้เป็นเกร็ดความรู้รอบตัวนะครับ
"คลินิกอาข่า" ต้นแบบการรักษา แนวแพทย์ผสมผสาน
ในเพิงพัก แม่เฒ่าเผ่าอาข่ากำลังนั่งมองลายมือเด็กน้อยน้ำตาเอ่อที่นั่งห่อไหล่อยู่ ฝั่งตรงข้าม ด้านหลังเด็กน้อยบรรดาผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างจ้องมาทางแม่เฒ่าไม่คลาดสายตา เด็ก ๆ ที่อยู่ด้านนอกชะเง้อมองการพิเคราะห์โรคผ่านช่องลมข้างโต๊ะ แม่เฒ่านิ่ง...นำสายสิญจน์มาผูกมือเด็กน้อยแล้วพูดด้วยเสียง เนิบ ๆ ผู้ใหญ่ยิ้ม-แม่เฒ่ายิ้ม-เด็ก ๆ ยิ้ม
การวินิจฉัยโรคของ "ยีผ่า" อันเป็นพิธีกรรมการวินิจฉัยโรคของหมอประจำหมู่บ้านแม่จันใต้ ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จบลงด้วยรอยยิ้ม
คนหนุ่มร่างสันทัดในเสื้อกาวน์ยืนยิ้มอยู่ห่าง ๆ กับความสำเร็จที่ตนเองได้สร้างขึ้น ในการผนวกนำเอาแพทย์ แผนปัจจุบันกับการรักษาแบบพื้นบ้านชาวอาข่ามารวมกันในที่เดียว แต่กว่าจะเกิดรอยยิ้มวันนี้คนหนุ่มอย่าง ธรพล เฌอมือ (อาจือ) แพทย์แผนไทยอิสระ เชื้อสายอาข่า ต้องผ่านการพิสูจน์มานักต่อนัก
หมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ "อาจือ" อยากเป็นหมอ เพราะเมื่อตอนเด็ก ๆ บ่อยครั้งแม่ต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง การเดินทางต้องขี่ม้าเพื่อไปต่อรถสองแถว ครั้นพอไปถึงแล้วสื่อสารกับหมอไม่เข้าใจเนื่องจากพูดภาษาไทยไม่ได้ อาชีพหมอจึงผ่านเข้ามาในความคิด แต่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็หันเหมาเรียนหลักสูตรแพทย์แผนไทย เพราะการเรียนแพทย์แผนปัจจุบันใช้เงินเรียนสูง ขณะที่เป้าหมายชีวิตคือ หมอบนดอย ที่มีความลำบากครั้นจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบันต้องขนเครื่องมือราคาแพงขึ้นมา รักษา ซึ่งการเรียนแพทย์แผนไทยจะสามารถใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปได้
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด โครงการคลินิกเคลื่อนที่ เพื่อสุขภาพสู่ชาวเขา โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) "อาจือ" มองว่า การรักษาชาวอาข่าที่ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีในหมู่คนที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ขณะที่คนรุ่นใหม่หลายคนไม่ใช้การรักษาแบบเดิม ซึ่งเมื่อมีการนำความรู้พื้นบ้าน มาใช้ จึงเกิดแนวคิดการออกตรวจโดยมีทั้งการรักษาแบบเดิมโดยใช้ยาสมุนไพรและการ รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน
"เราพยายามคำนึงถึงการรักษาเพื่อให้สุขภาพดีและทำให้จิตใจมีความสุขไม่วิตก กังวล เช่น บางรายตกเขาจนได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง แพทย์แผนไทยอาจช่วยได้ยากจึงต้องให้คนไข้พบแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งหลังจากนั้นจะอยู่ในช่วงการพักฟื้น ซึ่งสามารถใช้ยาแผนไทยในการบำรุงและสามารถนำหมอพิธีกรรมมาทำพิธีเพื่อให้ เกิดความสบายใจแก่คนไข้และญาติพี่น้อง"
โดยเมื่อคนไข้มาหา หมอจะทำการคัดกรอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 1.สมุนไพรบำบัด หรือ "นะซึสล่า" เพื่อบำรุงและคัดกรองเบื้องต้น 2.กายภาพบำบัด มีหลายวิธี เช่น หมอนวด หรือ "ส่ากู่เง่" คือผู้ที่มีความชำนาญด้านการนวดเอ็น ขณะที่ ย่ำข่าง หรือ ซุ้ม เน เนอะ เป็นการรักษาโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้าน "ซากือ" เป็นการรักษาอาการปวดเวียนศีรษะ ในกรณีที่กระดูกหัก ซึ่งหมออาข่ามีความชำนาญอย่างมาก
3.พิธีกรรมบำบัด คือ "พิมะ" หมอที่ทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยโรค ที่ไม่ทราบสาเหตุ และทำหน้าที่รักษาด้วยบทสวด ซึ่งจะมี
ความแตกต่าง กันไปตามโรคที่เจ็บป่วย การรักษาบางทีทำหน้าที่เป็นผู้ สะเดาะเคราะห์ตามคำวินิจฉัย ด้าน "สะมะ" คือ หมอที่มีพรสวรรค์เรียกว่าผู้ที่มีสัมผัสที่หกด้านการมองเห็นความเจ็บป่วย ที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติกระทำ สามารถวินิจฉัยโรคด้วยการสัมผัส การซักถาม การสังเกตอาการ แล้วจึงวินิจฉัย อาจใช้ยาสมุนไพรควบคู่พิธีกรรมหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วน "ยีผ่า" อาจเทียบเคียงได้กับหมอทรง โดยเข้าทรงแล้วเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย เพื่อตามขวัญของผู้ป่วย เมื่อเจอขวัญแล้วจะนำกลับมา อาจเกิดการต่อรองระหว่าง "ยีผ่า" กับวิญญาณร้าย เช่น วิญญาณร้ายอาจขอไก่ 1 ตัว ซึ่งจะทำการสะเดาะเคราะห์ต่อไป 4.หมอตำแย "ย่าชีอ่าม่า" เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำคลอดและดูแลหลังคลอด
สำหรับโรคที่คนอาข่าเป็นบ่อยคือ โรคปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากการทำงาน โรคทางเดินหายใจในช่วงเปลี่ยนฤดู โรคทางเดินอาหาร เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร โรคผิวหนัง ที่เกิดจากสารเคมีที่ทำการเกษตร
การออกตรวจโดยร่วมกันระหว่างแพทย์สมัยใหม่กับหมอท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นต้องทำการอบรมเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับข้อดีของแต่ละ ศาสตร์เพื่อให้ทุกฝ่ายเปิดใจ และทำการรักษาร่วมกัน ซึ่งหมอที่ทำด้านพิธีกรรมบางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะลูกหลานรุ่นใหม่บาง คนไม่ยอมมารักษา แต่ พอมาเข้าร่วมรักษาทุกฝ่ายต่าง มีความภูมิใจในตนเองและเปิดใจยอมรับแพทย์ทางเลือกมากขึ้น
สิ่งที่ช่วยอย่างมากในการทำงานร่วมกันเกิดจากแผนแม่บทปัจจุบันที่บังคับให้ โรงพยาบาลมีแพทย์แผนไทยประจำอย่างน้อย 1 คน ทำให้คณะแพทย์อาข่าสามารถติดต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ด้วยแพทย์แผนไทยที่ อยู่ในโรงพยาบาลเป็นผู้ประสานและพูดคุยทำความเข้าใจในการทำงาน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทายในอนาคตที่ต้องพยายามทำให้แพทย์ทั้งสองฝ่าย ในหลายพื้นที่เปิดใจเข้าหากันมากขึ้น
ส่วน เบทู เชอมือ ชาวอาข่าในหมู่บ้านแม่จันใต้ กล่าวว่า หมู่บ้านห่างจาก โรงพยาบาลกว่า 50 กิโลเมตร การเดินทางส่วนใหญ่มีความลำบากเนื่องจากถนนยัง เป็นดินแดง การออกหน่วย รักษาโดยผสมผสานระหว่างหมอ อาข่าและหมอแพทย์แผนไทย ทำให้คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านได้รู้จักการรักษาแบบดั้งเดิม ขณะ ที่คนรุ่นเก่าก็ได้รู้ถึงการรักษาแบบใหม่
การรักษาของหมออาข่าที่ส่วนใหญ่มักไม่บอกผู้อื่นทำให้ศาสตร์ที่ติดตัวหายไป พร้อมกับการเสียชีวิตของหมอผู้เฒ่า แต่การมารักษาร่วมกันทำให้ได้เรียนรู้การรักษายาสมุนไพรที่ช่วยให้รู้ว่า เมื่อเกิดอาการขึ้นควรใช้สมุนไพรตัวไหน อนาคตจึงอยากให้ภาครัฐหันมาสนใจการรักษาร่วมกันทั้งแบบปัจจุบันและพื้นบ้าน มากขึ้นเพื่อรักษาความรู้เก่า ๆ ไว้
ศาลาที่พักด้านนอกในหมู่บ้าน แม่บ้านชาวอาข่าตั้งวง หยิบซองยาที่หมอจ่ายให้ขึ้นมาถกเถียง และให้คนที่อ่านภาษาไทยออกอธิบาย สังคมเอื้อเฟื้อได้เริ่มขึ้น.
การวินิจฉัยโรคของ "ยีผ่า" อันเป็นพิธีกรรมการวินิจฉัยโรคของหมอประจำหมู่บ้านแม่จันใต้ ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย จบลงด้วยรอยยิ้ม
คนหนุ่มร่างสันทัดในเสื้อกาวน์ยืนยิ้มอยู่ห่าง ๆ กับความสำเร็จที่ตนเองได้สร้างขึ้น ในการผนวกนำเอาแพทย์ แผนปัจจุบันกับการรักษาแบบพื้นบ้านชาวอาข่ามารวมกันในที่เดียว แต่กว่าจะเกิดรอยยิ้มวันนี้คนหนุ่มอย่าง ธรพล เฌอมือ (อาจือ) แพทย์แผนไทยอิสระ เชื้อสายอาข่า ต้องผ่านการพิสูจน์มานักต่อนัก
หมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ "อาจือ" อยากเป็นหมอ เพราะเมื่อตอนเด็ก ๆ บ่อยครั้งแม่ต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง การเดินทางต้องขี่ม้าเพื่อไปต่อรถสองแถว ครั้นพอไปถึงแล้วสื่อสารกับหมอไม่เข้าใจเนื่องจากพูดภาษาไทยไม่ได้ อาชีพหมอจึงผ่านเข้ามาในความคิด แต่พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็หันเหมาเรียนหลักสูตรแพทย์แผนไทย เพราะการเรียนแพทย์แผนปัจจุบันใช้เงินเรียนสูง ขณะที่เป้าหมายชีวิตคือ หมอบนดอย ที่มีความลำบากครั้นจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบันต้องขนเครื่องมือราคาแพงขึ้นมา รักษา ซึ่งการเรียนแพทย์แผนไทยจะสามารถใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปได้
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด โครงการคลินิกเคลื่อนที่ เพื่อสุขภาพสู่ชาวเขา โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) "อาจือ" มองว่า การรักษาชาวอาข่าที่ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีในหมู่คนที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ขณะที่คนรุ่นใหม่หลายคนไม่ใช้การรักษาแบบเดิม ซึ่งเมื่อมีการนำความรู้พื้นบ้าน มาใช้ จึงเกิดแนวคิดการออกตรวจโดยมีทั้งการรักษาแบบเดิมโดยใช้ยาสมุนไพรและการ รักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน
"เราพยายามคำนึงถึงการรักษาเพื่อให้สุขภาพดีและทำให้จิตใจมีความสุขไม่วิตก กังวล เช่น บางรายตกเขาจนได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง แพทย์แผนไทยอาจช่วยได้ยากจึงต้องให้คนไข้พบแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งหลังจากนั้นจะอยู่ในช่วงการพักฟื้น ซึ่งสามารถใช้ยาแผนไทยในการบำรุงและสามารถนำหมอพิธีกรรมมาทำพิธีเพื่อให้ เกิดความสบายใจแก่คนไข้และญาติพี่น้อง"
โดยเมื่อคนไข้มาหา หมอจะทำการคัดกรอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 1.สมุนไพรบำบัด หรือ "นะซึสล่า" เพื่อบำรุงและคัดกรองเบื้องต้น 2.กายภาพบำบัด มีหลายวิธี เช่น หมอนวด หรือ "ส่ากู่เง่" คือผู้ที่มีความชำนาญด้านการนวดเอ็น ขณะที่ ย่ำข่าง หรือ ซุ้ม เน เนอะ เป็นการรักษาโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้าน "ซากือ" เป็นการรักษาอาการปวดเวียนศีรษะ ในกรณีที่กระดูกหัก ซึ่งหมออาข่ามีความชำนาญอย่างมาก
3.พิธีกรรมบำบัด คือ "พิมะ" หมอที่ทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยโรค ที่ไม่ทราบสาเหตุ และทำหน้าที่รักษาด้วยบทสวด ซึ่งจะมี
ความแตกต่าง กันไปตามโรคที่เจ็บป่วย การรักษาบางทีทำหน้าที่เป็นผู้ สะเดาะเคราะห์ตามคำวินิจฉัย ด้าน "สะมะ" คือ หมอที่มีพรสวรรค์เรียกว่าผู้ที่มีสัมผัสที่หกด้านการมองเห็นความเจ็บป่วย ที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติกระทำ สามารถวินิจฉัยโรคด้วยการสัมผัส การซักถาม การสังเกตอาการ แล้วจึงวินิจฉัย อาจใช้ยาสมุนไพรควบคู่พิธีกรรมหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วน "ยีผ่า" อาจเทียบเคียงได้กับหมอทรง โดยเข้าทรงแล้วเดินทางไปสู่โลกหลังความตาย เพื่อตามขวัญของผู้ป่วย เมื่อเจอขวัญแล้วจะนำกลับมา อาจเกิดการต่อรองระหว่าง "ยีผ่า" กับวิญญาณร้าย เช่น วิญญาณร้ายอาจขอไก่ 1 ตัว ซึ่งจะทำการสะเดาะเคราะห์ต่อไป 4.หมอตำแย "ย่าชีอ่าม่า" เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำคลอดและดูแลหลังคลอด
สำหรับโรคที่คนอาข่าเป็นบ่อยคือ โรคปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากการทำงาน โรคทางเดินหายใจในช่วงเปลี่ยนฤดู โรคทางเดินอาหาร เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร โรคผิวหนัง ที่เกิดจากสารเคมีที่ทำการเกษตร
การออกตรวจโดยร่วมกันระหว่างแพทย์สมัยใหม่กับหมอท้องถิ่นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นต้องทำการอบรมเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับข้อดีของแต่ละ ศาสตร์เพื่อให้ทุกฝ่ายเปิดใจ และทำการรักษาร่วมกัน ซึ่งหมอที่ทำด้านพิธีกรรมบางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเพราะลูกหลานรุ่นใหม่บาง คนไม่ยอมมารักษา แต่ พอมาเข้าร่วมรักษาทุกฝ่ายต่าง มีความภูมิใจในตนเองและเปิดใจยอมรับแพทย์ทางเลือกมากขึ้น
สิ่งที่ช่วยอย่างมากในการทำงานร่วมกันเกิดจากแผนแม่บทปัจจุบันที่บังคับให้ โรงพยาบาลมีแพทย์แผนไทยประจำอย่างน้อย 1 คน ทำให้คณะแพทย์อาข่าสามารถติดต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ด้วยแพทย์แผนไทยที่ อยู่ในโรงพยาบาลเป็นผู้ประสานและพูดคุยทำความเข้าใจในการทำงาน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทายในอนาคตที่ต้องพยายามทำให้แพทย์ทั้งสองฝ่าย ในหลายพื้นที่เปิดใจเข้าหากันมากขึ้น
ส่วน เบทู เชอมือ ชาวอาข่าในหมู่บ้านแม่จันใต้ กล่าวว่า หมู่บ้านห่างจาก โรงพยาบาลกว่า 50 กิโลเมตร การเดินทางส่วนใหญ่มีความลำบากเนื่องจากถนนยัง เป็นดินแดง การออกหน่วย รักษาโดยผสมผสานระหว่างหมอ อาข่าและหมอแพทย์แผนไทย ทำให้คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านได้รู้จักการรักษาแบบดั้งเดิม ขณะ ที่คนรุ่นเก่าก็ได้รู้ถึงการรักษาแบบใหม่
การรักษาของหมออาข่าที่ส่วนใหญ่มักไม่บอกผู้อื่นทำให้ศาสตร์ที่ติดตัวหายไป พร้อมกับการเสียชีวิตของหมอผู้เฒ่า แต่การมารักษาร่วมกันทำให้ได้เรียนรู้การรักษายาสมุนไพรที่ช่วยให้รู้ว่า เมื่อเกิดอาการขึ้นควรใช้สมุนไพรตัวไหน อนาคตจึงอยากให้ภาครัฐหันมาสนใจการรักษาร่วมกันทั้งแบบปัจจุบันและพื้นบ้าน มากขึ้นเพื่อรักษาความรู้เก่า ๆ ไว้
ศาลาที่พักด้านนอกในหมู่บ้าน แม่บ้านชาวอาข่าตั้งวง หยิบซองยาที่หมอจ่ายให้ขึ้นมาถกเถียง และให้คนที่อ่านภาษาไทยออกอธิบาย สังคมเอื้อเฟื้อได้เริ่มขึ้น.
วิธีฟังวิทยุออนไลน์
เพื่อนๆ คงอยากรู้ว่าฟังวิทยุออนไลน์ บนเว็บทำได้่ยังไงใช่มั้ยล่ะ เราจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ นะ เริ่มก็คือ ทางเจ้าของสถานีวิทยุออนไลน์ เค้าจะส่งสัญญาณ ผ่านอินเตอร์เน็ต เราก็เพียงเอาโค้ดของ เค้ามาใช้ แปะ กับ เครื่องมือเช่น windows media player แล้ว มันก็จะเล่นวิทยุ นั้นๆ อัตโนมัติ ถือได้ว่าเป็นอะไร ที่เจ๋งมากๆ เจ้าคอมพิวเตอร์ สามารถ เป็น วิทยุออนไลน์ ได้ด้วย แต่ เสียดาย อย่างนึงคือ ต้อง ต่อ อินเตอร์เน็ต ก่อนถึงจะเล่นได้ อะนะ อย่างเว็บในเครือ bunterng ก็มี วิทยุออนไลน์ เหมือนกัน ซึ่งทำไว้ให้ ชาว บันเทิงได้ใช้กันง่ายๆ บริการฟรี ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยหล่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณ เจ้าของ ช่องที่เผยแพร่สัญญาณวิทยุออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตครับ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
คือชีวิต....

อาจมีบางสิ่งที่เคยทำให้เราเจ็บ...
อาจมีบางเวลาที่เราเคยทุกข์เศร้าสุดแสน
จนคิดว่าไม่อาจทนทานอีกต่อไปได้...
แต่สิ่งต่างๆ วันเวลาเหล่านั้น...
ในที่สุดก็ได้ผ่านพ้นไป...
เหมือนพายุย่อมต้องมีวันสงบ
เหมือนท้องฟ้ามืดมน...ย่อมต้องมีวันสว่างสดใส...
และแล้วเราก็ได้ผ่านมาจนถึงวันนี้...
เชื่อไหม ?...แม้ขณะนี้เราจะรู้สึกเป็นทุกข์มากมาย
หรือได้พบพานสิ่งเจ็บร้าวในใจอย่างไร
ที่สุดแล้วเราก็จะเดินทางไปถึงวันพรุ่งนี้จนได้
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้...ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว...
เพราะในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะผ่านไปตามกาลเวลา...
ขอเพียงเราได้กระทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...
เราก็ต้องไปถึงอยู่แล้ว...
ความสุขอยู่แค่เอื้อม
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนที่มีความสุขที่สุด
คือคนที่มีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในกำมือ...
มีเงินมากที่สุด มีบ้านหลังใหญ่ที่สุด มีรถหรูหราราคาแพงที่สุด
มีคนรักที่สวยที่สุด มีพ่อแม่ที่ใจกว้างที่สุด มีเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุด...
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นที่สุดของที่สุดครอบครองอยู่
ซึ่งความจริงแล้วอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยก็ได้
เพราะคนที่มีความสุขที่สุด...หลายคนอาจไม่ใช่คนร่ำรวย
อาจไม่ใช่คนที่มีแฟนสวย หรือมีรถราคาแพงโก้หรู
เขาอาจเป็นคนธรรมดาๆ ที่สามารถหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างง่าย
เพียงการเดินเล่นในสวนสาธารณะในยามเย็นหลังเลิกงาน
เพียงการนั่งดื่มเบียร์ราคาถูกๆ กับเพื่อนที่รู้ใจสักคน
เพียงการส่งยิ้มให้กับสาวหน้าหวานที่เขาแอบปิ้งมานานแต่ไม่กล้าเข้าไปจีบ
เพราะความสุขไม่ได้อยู่ไกลตัวของเราเลย
ความสุขอยู่รายรอบตัวเราเสมอ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นมันหรือไม่...
ความสุขไม่ต้องใช้เงินเงินแลกมาก็ได้
เพราะบ่อยครั้งที่เราซื้อความสุขและคิดว่าเราคงสุขเต็มที่
แต่เรากลับไม่เป็นเช่นนั้น...
และหากเราต้องใช้เงินเพื่อที่จะซื้อความสุข
สิ่งนั้นไม่น่าถูกเรียกว่าความสุข
ความสุขอยู่ใกล้ๆ ตัวเรามากจนเราไม่อาจรับรู้
ความสุขอยู่ที่มุมปากของเราเอง...
หากเรายิ้มด้วยหัวใจ ความสุขก็ปรากฏกาย
ปรากฏกายให้ทั้งตัวเราและผู้อื่นได้มีความสุขไปพร้อมๆกัน...
คือคนที่มีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในกำมือ...
มีเงินมากที่สุด มีบ้านหลังใหญ่ที่สุด มีรถหรูหราราคาแพงที่สุด
มีคนรักที่สวยที่สุด มีพ่อแม่ที่ใจกว้างที่สุด มีเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุด...
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นที่สุดของที่สุดครอบครองอยู่
ซึ่งความจริงแล้วอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยก็ได้
เพราะคนที่มีความสุขที่สุด...หลายคนอาจไม่ใช่คนร่ำรวย
อาจไม่ใช่คนที่มีแฟนสวย หรือมีรถราคาแพงโก้หรู
เขาอาจเป็นคนธรรมดาๆ ที่สามารถหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างง่าย
เพียงการเดินเล่นในสวนสาธารณะในยามเย็นหลังเลิกงาน
เพียงการนั่งดื่มเบียร์ราคาถูกๆ กับเพื่อนที่รู้ใจสักคน
เพียงการส่งยิ้มให้กับสาวหน้าหวานที่เขาแอบปิ้งมานานแต่ไม่กล้าเข้าไปจีบ
เพราะความสุขไม่ได้อยู่ไกลตัวของเราเลย
ความสุขอยู่รายรอบตัวเราเสมอ
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นมันหรือไม่...
ความสุขไม่ต้องใช้เงินเงินแลกมาก็ได้
เพราะบ่อยครั้งที่เราซื้อความสุขและคิดว่าเราคงสุขเต็มที่
แต่เรากลับไม่เป็นเช่นนั้น...
และหากเราต้องใช้เงินเพื่อที่จะซื้อความสุข
สิ่งนั้นไม่น่าถูกเรียกว่าความสุข
ความสุขอยู่ใกล้ๆ ตัวเรามากจนเราไม่อาจรับรู้
ความสุขอยู่ที่มุมปากของเราเอง...
หากเรายิ้มด้วยหัวใจ ความสุขก็ปรากฏกาย
ปรากฏกายให้ทั้งตัวเราและผู้อื่นได้มีความสุขไปพร้อมๆกัน...
ขัดสีดำในตัว...

คนฉลาดย่อมรู้ว่า...
โลกนี้ไม่มีสีขาวสนิท หรือดำสนิท..
ในสีขาวย่อมมีสีดำ และในสีดำย่อมมีสีขาว
ส่วนคนโง่มักคิดว่า ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ
ทุกอย่างมีค่าเท่ากับขวาสุดและซ้ายสุด
การคิดอย่างหลังจะทำให้สมองของเรา วิเคราะห์ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากเดิม
เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีใครที่เลวร้ายไปหมดทุกอย่าง
และไม่มีใครดีไปหมดทุกอย่าง...
คนที่เราเห็นว่าเขาดี บางมุมเขาก็ยังเลวอยู่
ในขณะที่เราเห็นว่าเขาเลว บางมุมเขาก็ยังมีความดีอยู่เช่นกัน
ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีสองด้านเสมอ แม้แต่ตัวของเราเอง ก็ตั้งอยู่บนสัจธรรมข้อนี้
การที่เราจะขับสีดำออกจากตัวเราได้นั้น
เราต้องรู้ก่อนว่าลึกๆ แล้วข้างในตัวของเรายังมีความชั่ว ยังมีความเลวที่ควร
ลด ละ เลิก...
เวลาใครมาถามเราว่า.ตัวเรามีข้อเสียอย่างไรบ้าง ?...
เรามักตอบไปตามประสาว่า ขี้ลืม ใจร้อน ซุ่มซ่าม พูดมาก มั่นใจตัวเองเกินไป
พูดตรงเกินไป ซึ่งสื่งเหล่านี้ อาจเป็นข้อเสียอันน้อยนิด ที่ดูแล้วน่ารักน่าชัง
จากข้อเสียเป็นล้านๆ ข้อในตัวเรา...
ไม่เคยมีใครกล้าบอกกับคนอื่นว่า...ตัวเองยังโลภโมโทสัน
อยากมีอยากได้ เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา ยึดติดตัวตน เห็นแก่พวกพ้อง
รักความสบาย ไร้เหตุผล เอาใจตนเป็นใหญ่
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว...
เราทุกคนก็ยังมีสัญชาตญาณเหล่านี้ หลงเหลืออยู่ในตัว
มากบ้างน้อยบ้างในแต่ละข้อ แต่ละบุคคลต่างๆ กันไป ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์
ผู้หลงอยู่ในโลกแห่งสมมุติ เชื่อเถอะว่า ความรู้สึกสีดำเหล่านี้
ยังคงวิ่งแล่นอยู่ในจิตวิญญาณของเราเสมอ...
เราต้องรู้ตัวว่า..ตัวเองยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ลึกๆ
และมันก็พร้อมจะแสดงตัวออกมาเมื่อถึงเวลา
เราต้องรู้ตัวว่า..บางครั้งเราก็เลือกที่จะรู้สึกอิจฉามากกว่ายินดี โกรธขึงมากกว่าให้อภัย
เราต้องรู้ตัวว่า..ไฟแห่งความอยากมีอยากได้ อยากเป็นของเรา ยังโชติช่วงไม่เคยดับ
เราต้องรู้ตัวว่า..หลายครั้งเหตุผลของเรา ก็เป็นเพียงเหตุผลเพื่อตัวเอง
ไม่ใช่เหตุผลที่วางอยู่บนความถูกต้อง หรือความยุติธรรม
เราต้องรู้ตัวว่า..เรายังอยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป็นคนดี
ทั้งๆ ที่เราก็รู้ตัวว่า เราไม่ได้ดีอย่างที่คิด
เราต้องรู้ตัวว่า..บางครั้งเราก็ยังเผลอเอาเปรียบผู้อื่นเล็กๆ น้อยๆ
ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ตัวเองอยู่
เราต้องรู้ตัวว่า..เรายังรับไม่ได้ เวลาที่คนอื่นมาวิจารณ์ว่าเราไม่ดีอย่างไร
ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง
เราต้องรู้ตัวว่า..บางครั้งเราก็เลือกที่จะนินทาผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
เราต้องรู้ตัวว่า..บ่อยๆ ที่เราไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเองในขณะที่
เรามองเห็นความผิดของผู้อื่นเต็มไปหมด
เราต้องรู้ตัวว่า..เรามักหาคำพูดแก้ตัวมาบอกตนเองและผู้อื่นเสมอ
เวลาเราทำเรื่องผิดๆ เพื่อให้เรื่องนั้นดูผิดหรือเลวน้อยลง
เราต้องรู้ตัวว่า..ถ้าเลือกได้เราย่อมอยากให้ ตัวเรา พ่อแม่ของเรา
คนรักของเรา ลูกของเรา บริษัทของเรา ได้ดีกว่าคนอื่น
เราต้องรู้ตัวว่า..หลายครั้งที่เราพูดว่าสงสาร แต่หลังจากนั้น
เราก็ไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรให้ดีขึ้น นอกจากพูดคำว่า สงสารซ้ำไปซ้ำมา
เราต้องรู้ตัวว่า..เรามักคิดว่า เรารู้จักตัวเองดีเสมอ แต่ความเป็นจริงแล้ว
สิ่งนั้น เป็นเพียงสิ่งที่เราอยากเห็นและยังไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเราทั้งหมด
เราต้องรู้ตัวว่า..การที่เราได้ยินคนที่เราเกลียดถูกนินทานั้นทำให้เรารู้สึกดี
เราต้องรู้ตัวว่า..สิ่งที่ผิดพลาดหลายอย่างในชีวิต เรามักโทษสิ่งแวดล้อม คนอื่น
แต่เราไม่ค่อยโทษตัวเองสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่ลึกๆเราก็รู้ดีว่า เรานี่เองที่เป็นตัวการใหญ่
เราต้องรู้ตัวว่า..คำโกหก บิดเบือน อำพรางยังเป็นเครื่องมือที่เราใช้ในการเอาตัวรอดเสมอ
เมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัว
เราต้องรู้ตัวว่า..เราชอบบอกว่า ความดีสำคัญกว่าเงินทอง
แต่เกือบทุกครั้ง เราก็เกรงใจคนรวยๆ มากกว่าคนดีๆ
เราต้องรู้ตัวว่า..ถ้าเขาชอบเรา เราก็ชอบเขา แต่ถ้าเขาเกลียดเรา เราก็เกลียดเขา
โดยที่ไม่เคยกลับมานั่งคิดเลยว่า ที่เขาเกลียดเรานั้นเป็นเพราะอะไร
เราต้องรู้ตัวว่า..เรายังอยากรู้ข่าวร้ายๆ ของคนอื่นมากกว่าเรื่องดีๆ ของเขาเสมอ
เราต้องรู้ตัวว่า..เราชอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนไม่มีโอกาส
ทั้งที่เราก็รู้ว่าที่เราไม่มีโอกาสก็เพราะว่า...เราขี้เกียจ...
เราต้องรู้ตัวว่า..เราชอบวิจารณ์คนอื่นว่า โกงชาติบ้านเมือง
ในขณะที่เราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อเลี่ยงภาษี
เราต้องรู้ตัวว่า..น้อยครั้งที่เรารู้สึกว่า ตัวเองมีเหลือพอที่จะแบ่งปันให้คนอื่น
เราต้องรู้ตัวว่า..หลายครั้งที่เราก็คิด ในสิ่งที่ไม่สมควรคิด ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ตัว ต้องยอมรับ ต้องสำนึก ต้องไม่ปฏิเสธว่า
เรายังมีความรู้สึกด้านมืดเหล่านี้หลงเหลืออยู่ในตน
เพราะการยอมรับว่า "ตัวเรายังไม่ดีพอ" คือบันไดขั้นแรก
ที่จะทำให้เราเดินไปสู่หนทางที่ถูกต้อง เดินไปสู่เส้นทางของการเป็นคนเต็มคนอย่างแท้จริง
คนที่คิดว่า "ตัวเองดีแล้ว" ย่อมไม่คิดปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
เพราะ...เขาจะคอยทำตัวเหมือนเทวดา ใช้เวลาทั้งวันในการเฝ้ามองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลส มองไปวิจารณ์ไป
เพราะ...คิดเพียงว่าตนดีกว่าเขา ตนอยู่ชั้นสูงกว่าเขา ตนไม่มีวันทำไม่ดีแบบเขา
คิดได้ดังนั้น จึงลงมือตัดสินผู้อื่น ด้วยปัญญาที่มีอยู่อันน้อยนิด
เขาเลวอย่างนั้น เขาเลวอย่างนี้ มองคนอื่นโดยไม่เคยมองตนเองเลยแม้แต่น้อย
พูดให้สั้น กระชับ และง่ายไปกว่านี้ก็คือ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ที่เราจะนั่งคิดถึงความไม่ดี เลว ผิดพลาดของผู้อื่น เพราะยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งแย่มาก
ยิ่งห่างไกลความเจริญของตนมากขึ้นไปอีก...
สิ่งที่เราควรทำก็คือ "คิดให้มากว่า เรานั้นไม่ดีอย่างไร"
มีสีดำตรงไหน ตรงไหนที่ยังคิดไม่ดี ทำไม่ดี สำนึกไม่ดี
การรู้ว่า เรายังมีข้อไม่ดี ไม่ได้แปลว่า เราต้องออกไป "ประจานตัวเอง"
ให้คนอื่นรับรู้ว่า เราไม่ดีอย่างไร...
เราคงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น แต่เรารู้ของเรา สำนึกของเราแบบเงียบๆ อยู่ในจิตใจ
ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน ให้จิตใจของเรา เดินไปสู่หนทางที่สว่างไสวขึ้น
จิตใจของเราก็อาจเปรียบได้กับบ้าน ถ้าบ้านสะอาดเราก็อยู่สบาย
แต่ถ้าบ้านสกปรกเราก็อยู่ไม่สบาย อยู่แล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อบ้านของเราสกปรก ถึงคนอื่นไม่รู้ เราผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ต้องรู้
และรู้อยู่อย่างเดียวก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
รู้แล้วต้องหยิบไม้กวาด หยิบผ้า หยิบถังขยะ ขึ้นมาปัด กวาด เช็ด ถู
และทิ้งของเน่าๆ ให้หมดไป...
เป็นคนดี ใจดี ย่อมมีแต่ความสุข
เป็นคนร้าย ใจร้าย ก็ย่อมมีแต่ความทุกข์เช่นกัน...
นี่คือประโยนช์ของผ้าขี้ริ้วอย่างแท้จริง...........

1. ยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด
เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข
เช่น พ่อแม่ยอมเหนื่อยลูกหลานสุขสบาย
2. ดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดคราบสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา
เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว
มิใช่อมความสกปรกไว้ แล้วแกล้งบอกว่าตนเองสะอาด
3. เป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด
เหมือนคนที่หมั่นฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน
ไม่โอหังอวดดีให้คนรังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาก็จะเป็นคนมีคุณค่า
ไม่ว่ามาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม
ทำตัวให้เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดรู้ เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองให้ได้
4. แม้นว่าเป็นผ้าที่ไม่มีราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้
เหมือนคนที่พยายามทำตนเองให้มีคุณค่าด้วยการทำงานทำตน เป็นประโยชน์ให้มีค่า
ไม่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา ชะตาชีวิต
5. ไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร
เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย
โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสางาน
ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม ตั้งใจทำโดยไม่เกี่ยงงาน
รู้จักเสนอตัวทำงาน มิใช่รอคอยแต่ คำร้องขอ
6. ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด
เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ
ที่เขาเห็นว่าไร้ค่า เป็นงานชั้นต่ำ
แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้
หรือยินดีในการบริการเหมือนคนที่เอิบอิ่มเมื่อชีวิตบริการรับใช้ผู้อื่นรับใช้สังคม
ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ความสามารถของตน
และยินดีที่จะเสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าที่จะคิดเข้าไปบริหาร
แปลว่า ทำตัวให้เหมือนผ้าขี้ริ้วนั่นเอง
7. พอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด
เหมือนคนต้องพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น
ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ
มีความสุขและภูมิใจที่มอบความสำเร็จให้แก่คนอื่น
มีมากที่ผู้น้อยบางคนทำงานแล้ว
ทำให้ผู้ใหญ่เล็กลงในขณะที่ตนเองโตขึ้น
8. ทนทานต่อการขัดถูและซักล้าง ไม่เปราะบาง
เหมือนคนที่มีความอดทนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา
แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้เพื่อให้สำเร็จประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น
มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบาง
9.แม้นจะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ก็ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่
เหมือนคนที่รู้ตนเองว่า มีคนกำลังปรามาสสบประมาท
จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคตรงนั้นให้ได้
ไม่พ่ายแพ้ตามคำปรามาสของคนอื่น
รู้ตัวตลอดว่ากำลังทำอะไรและให้มีกำลังใจในสิ่งนั้น
ที่สำคัญคือมองหาความสำคัญจากสิ่งที่คนมองไม่เห็นว่าสำคัญอย่างไรให้ได้
คือสามารถมองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า.......
**** ลองสำรวจคุณค่าในตัวคุณ ๆ แล้วรึยัง ****
ทรายเต็มแก้ว
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด
เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน ' เต็มแล้ว...'
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ
หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ
กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
" เหยือกเต็มหรือยัง ?'
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ' เต็มแล้ว...'
เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก
เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง " เหยือกเต็มหรือยัง ?'
เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
" คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์'
" แน่ใจนะ'
" แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ'
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
" ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
" ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน'
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข
ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม " แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า " การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...'
เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?' เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน ' เต็มแล้ว...'
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ
หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ
กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก
" เหยือกเต็มหรือยัง ?'
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ ' เต็มแล้ว...'
เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก
เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง " เหยือกเต็มหรือยัง ?'
เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น
" คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์'
" แน่ใจนะ'
" แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ'
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
" ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง' เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น
" ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน'
ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า
เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข
ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา
นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม " แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'
เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า " การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ...'
คุณจะเลือกทางไหน..
มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?
ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้
คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
ก็คิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผลทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมืองโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก
แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ
ใช้งาน
และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้
เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า
การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว
มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่
เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ
คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่
แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน
หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม?
ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้
คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป
รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้
คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น
ก็คิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน
แน่นอน ตอนแรกก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก
ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผลทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก
แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก
แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน
ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมืองโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย
คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก
แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม
เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา
และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม
เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ
เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการ
ใช้งาน
และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ
ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน
เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น
นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย
ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย
ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน
อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้
เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า
การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ
และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป
ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้
และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
มโนทัศน์ของเทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศน์ศึกษาให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศนอุปกรณ์ หรือโสตทัศนูปกรณ์เทคโนโลยีทางการศึกษามีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจพิจารณาจากความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีได้เป็น 2 ประการ ดังนี้
1.2.1 ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่า มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน เน้นเรื่องวัสดุ อุปกรณ์ มากกว่าจะคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลและการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา
1.2.2 ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ หมายถึง การนำวิธีการทางจิตวิทยา มานุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคที่เป็นวิธีการ และกระบวนการเรียนการสอนมากกว่าวัสดุ และเครื่องมือ
1.2.1 ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่า มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน เน้นเรื่องวัสดุ อุปกรณ์ มากกว่าจะคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลและการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา
1.2.2 ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ หมายถึง การนำวิธีการทางจิตวิทยา มานุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคที่เป็นวิธีการ และกระบวนการเรียนการสอนมากกว่าวัสดุ และเครื่องมือ
ทำดีไม่ต้องเหลียว
ถ้าคุณเห็นกล่องบริจาค 2 กล่อง กล่องหนึ่งรับบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้า อีกกล่องเชิญชวนสละเงินเพื่อช่วยผู้ประสบภัยแผนดินไหว คุณจะหยอดเงินใส่กล่องไหน
คำตอบคือ ถ้าคุณคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณจะเมินกล่องที่ไม่มีเงิน แต่จะควักเงินใส่กล่องที่มีเงินบริจาคเต็มกล่อง!
นี่เป็นข้อสรุปจากการทดลองของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิดตอเรียแห่งเวลลิงตันเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยได้เอากล่องบริจาคหลายแบบมาวางไว้ในที่สาธารณะเพื่อให้คนบริจาค บางกล่องไม่มีเงินเลย บางกล่องมีธนบัตรมากแต่เหรียญน้อย บางกล่องมีธนบัตรน้อยแต่เหรียญมาก โดยมีการติดกล้องถ่ายพฤติกรรมของผู้คนในบริเวณนั้น
การทดลองนี้พบว่ากล่องไหนที่ไม่มีเงินใส่ไว้เลย คนส่วนใหญ่จะเมิน แต่จะนิยมบริจาคเงินลงในกล่องที่มีเงินอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก ยิ่งมากเท่าไร คนก็ยิ่งใส่มากเท่านั้น นอกจากนั้นยังพบอีกว่ากล่องที่มีธนบัตรมากกว่าเหรียญ จะดึงดูดให้ผู้คนควักเงินครั้งละมากๆ แต่จำนวนคนบริจาคจะลดลงตรงข้ามกับกล่องที่มีเหรียญมากกว่าธนบัตร จะเชิญชวนให้คนเข้ามาบริจาคมากขึ้น แต่มูลค่าของเงินบริจาคจะลดลง
ข้อสรุปจากการทดลองนี่ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ควักเงินบริจาคกัน หากเห็นกล่องที่มีเงินบริจาคเติมกล่องแล้วทำเมินเฉยจะรู้สึกไม่ดีมาทันที่ เช่น อาจรู้สึกผิด หรือขายหน้า แต่จะไม่สบายใจมากหากเห็นกล่องนั้นไม่มีเงินบริจาค “ก็คนอื่นเขายังไม่บริจาคเลย ฉันไม่บริจาคอีกสักคน จะเป็นไรไป” หลายคนอาจคิดอย่างนี้
การทดลองดังกล่าวบอกให้รู้ว่า พฤติกรรมของคนเรา (ซึ่งคงไม่ใช้แค่คนนิวซีแลนท่านั้น)มักจะถูกกำหนดโดยคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่การตัดสินใจทำสิ่งดีๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากก็ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นทำก่อนแล้วกี่มากน้อย
และถ้ามองให้ลึกๆ จะพบว่า การทำความดีมักจะมีเรื่องอัตตาเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเห็นคนอื่นทำแต่เราไม่ทำ ก็รู้สึกเสียหน้าและถ้าเห็นคนอื่นหยอดธนบัตรลงไปก็อดไม่ได้ที่จะควักธนบัตรใส่ลงไปด้วย จะหยอดเหรียญลงไปก็ดูกระไรอยู่แต่ถ้าเห็นกล่องมีแต่เหรียญ ก็รู้สึกขายหน้าเลยที่ให้เงินเหรียญเพราะคนส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน
ขอให้สังเกตดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวและคงไม่ใช้แค่บริจาคเงินเท่านั้นที่เราปล่อยให้คนอื่นเข้ามากำหนดพฤติกรรมของเรา โดยมีเรื่องของหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลามีคนเป็นลมทรุดกลางถนน หรือถูกทำร้ายท่ามกลางฝูงชน จึงไม่มีใครสักคนเข้าไปช่วยหรือกว่าจะเข้ามาช่วยก็ทิ้งเวลาจนเนิ่นนาน คำตอบก็เห็นจะเป็นเพราะทุกคนคอยแต่จะให้คนอื่นเข้าไปช่วย ครั้นคนอื่นนิ่งเฉย คนที่เหลือก็เลยเฉยไปด้วย โดยไม่รู้สึกผิด (“ก็คนอื่นเขายังไม่ทำอะไรเลย”)
แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หากเหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าคนเพียง 2-3 คน คนไม่กี่คนนั้นแหละมักจะเข้าไปช่วย เพราะถ้ายิ่งเฉย ก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ในฐานที่มีส่วนรู้เห็นกับชะตากรรมของผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว
การทำความดีโดยได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น หรือเพราะกลัวเสียหน้า และทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำเสียเลย แต่ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งเราปล่อยให้คนอื่นมากำหนดพฤติกรรมของเรามากเกินไป จนทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น การรังเกียจหยามหยันคนบางคน เพียงเพราะว่าคนอื่นเขาก็ทำเช่นนั้นทั้งๆ ที่คนๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายเพียงแต่เขาคิดหรือทำไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ในที่นั้น เช่น ไม่เคยใส่เสื้อเหลืองเลยสักวัน) หนักกว่านั้นก็คือ ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็เพราะใครๆเขาก็ทำกัน (“ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”)
ใครๆ ก็อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่บ่อยครั้งเรากลับยอมให้ผู้คนแวดล้อมมาบงการความคิดและพฤติกรรมของเราโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่การเงิน การแต่งกาย การช้อปปิ้ง การเที่ยวไปจนถึงการหาคู่ การเลี้ยงลูก ไม่เว้นแม้กระทั่งการจัดงานศพ การทำเหมือนคนอื่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่เป็นการกระทำที่รู้ตัวและเกิดจากวิจารณญาณ ไตร่ตรองด้วยเหตุผล โดยมุ่งเอาความดีงามและประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเป็นที่ตั้ง
ชีวิตนี้เป็นของเรา จึงควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่หรือ
คำตอบคือ ถ้าคุณคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณจะเมินกล่องที่ไม่มีเงิน แต่จะควักเงินใส่กล่องที่มีเงินบริจาคเต็มกล่อง!
นี่เป็นข้อสรุปจากการทดลองของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิดตอเรียแห่งเวลลิงตันเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยได้เอากล่องบริจาคหลายแบบมาวางไว้ในที่สาธารณะเพื่อให้คนบริจาค บางกล่องไม่มีเงินเลย บางกล่องมีธนบัตรมากแต่เหรียญน้อย บางกล่องมีธนบัตรน้อยแต่เหรียญมาก โดยมีการติดกล้องถ่ายพฤติกรรมของผู้คนในบริเวณนั้น
การทดลองนี้พบว่ากล่องไหนที่ไม่มีเงินใส่ไว้เลย คนส่วนใหญ่จะเมิน แต่จะนิยมบริจาคเงินลงในกล่องที่มีเงินอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก ยิ่งมากเท่าไร คนก็ยิ่งใส่มากเท่านั้น นอกจากนั้นยังพบอีกว่ากล่องที่มีธนบัตรมากกว่าเหรียญ จะดึงดูดให้ผู้คนควักเงินครั้งละมากๆ แต่จำนวนคนบริจาคจะลดลงตรงข้ามกับกล่องที่มีเหรียญมากกว่าธนบัตร จะเชิญชวนให้คนเข้ามาบริจาคมากขึ้น แต่มูลค่าของเงินบริจาคจะลดลง
ข้อสรุปจากการทดลองนี่ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ควักเงินบริจาคกัน หากเห็นกล่องที่มีเงินบริจาคเติมกล่องแล้วทำเมินเฉยจะรู้สึกไม่ดีมาทันที่ เช่น อาจรู้สึกผิด หรือขายหน้า แต่จะไม่สบายใจมากหากเห็นกล่องนั้นไม่มีเงินบริจาค “ก็คนอื่นเขายังไม่บริจาคเลย ฉันไม่บริจาคอีกสักคน จะเป็นไรไป” หลายคนอาจคิดอย่างนี้
การทดลองดังกล่าวบอกให้รู้ว่า พฤติกรรมของคนเรา (ซึ่งคงไม่ใช้แค่คนนิวซีแลนท่านั้น)มักจะถูกกำหนดโดยคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่การตัดสินใจทำสิ่งดีๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากก็ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นทำก่อนแล้วกี่มากน้อย
และถ้ามองให้ลึกๆ จะพบว่า การทำความดีมักจะมีเรื่องอัตตาเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเห็นคนอื่นทำแต่เราไม่ทำ ก็รู้สึกเสียหน้าและถ้าเห็นคนอื่นหยอดธนบัตรลงไปก็อดไม่ได้ที่จะควักธนบัตรใส่ลงไปด้วย จะหยอดเหรียญลงไปก็ดูกระไรอยู่แต่ถ้าเห็นกล่องมีแต่เหรียญ ก็รู้สึกขายหน้าเลยที่ให้เงินเหรียญเพราะคนส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน
ขอให้สังเกตดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวและคงไม่ใช้แค่บริจาคเงินเท่านั้นที่เราปล่อยให้คนอื่นเข้ามากำหนดพฤติกรรมของเรา โดยมีเรื่องของหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลามีคนเป็นลมทรุดกลางถนน หรือถูกทำร้ายท่ามกลางฝูงชน จึงไม่มีใครสักคนเข้าไปช่วยหรือกว่าจะเข้ามาช่วยก็ทิ้งเวลาจนเนิ่นนาน คำตอบก็เห็นจะเป็นเพราะทุกคนคอยแต่จะให้คนอื่นเข้าไปช่วย ครั้นคนอื่นนิ่งเฉย คนที่เหลือก็เลยเฉยไปด้วย โดยไม่รู้สึกผิด (“ก็คนอื่นเขายังไม่ทำอะไรเลย”)
แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หากเหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าคนเพียง 2-3 คน คนไม่กี่คนนั้นแหละมักจะเข้าไปช่วย เพราะถ้ายิ่งเฉย ก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ในฐานที่มีส่วนรู้เห็นกับชะตากรรมของผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว
การทำความดีโดยได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น หรือเพราะกลัวเสียหน้า และทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำเสียเลย แต่ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งเราปล่อยให้คนอื่นมากำหนดพฤติกรรมของเรามากเกินไป จนทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น การรังเกียจหยามหยันคนบางคน เพียงเพราะว่าคนอื่นเขาก็ทำเช่นนั้นทั้งๆ ที่คนๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายเพียงแต่เขาคิดหรือทำไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ในที่นั้น เช่น ไม่เคยใส่เสื้อเหลืองเลยสักวัน) หนักกว่านั้นก็คือ ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็เพราะใครๆเขาก็ทำกัน (“ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”)
ใครๆ ก็อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่บ่อยครั้งเรากลับยอมให้ผู้คนแวดล้อมมาบงการความคิดและพฤติกรรมของเราโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่การเงิน การแต่งกาย การช้อปปิ้ง การเที่ยวไปจนถึงการหาคู่ การเลี้ยงลูก ไม่เว้นแม้กระทั่งการจัดงานศพ การทำเหมือนคนอื่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่เป็นการกระทำที่รู้ตัวและเกิดจากวิจารณญาณ ไตร่ตรองด้วยเหตุผล โดยมุ่งเอาความดีงามและประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเป็นที่ตั้ง
ชีวิตนี้เป็นของเรา จึงควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่หรือ
รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’ (Dead Wood)
รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’ (Dead Wood)
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)
ใน สังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น ‘คนไร้ค่า’ เป็นยิ่งกว่า ‘ไม้แก่ดัดยาก’ คือมีสถานะคล้าย ‘แตงเถาตาย’ หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า
.
บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน ช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ ‘กลายพันธุ์’ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า ‘คนไร้ค่า’ และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง
.
.
ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า
.
บุคคลผู้เป็น ‘คนไร้ค่า’ มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:
.
1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก ‘นิยมวัตถุ’ ซึ่งต่างจาก ‘วัตถุนิยม’ (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ ‘จิตนิยม’ (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น
.
2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ‘ชาล้นแก้ว’ บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ‘ยืมจมูกคนอื่นหายใจ’ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ
.
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์
.
4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ ‘ผักชีโรยหน้า’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ‘ไถ’ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด
.
5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ‘ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน’ หรือ ‘หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ’ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย
.
6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี ‘เลีย’ หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก ‘พายเรือให้โจรนั่ง’ แล้ว ยังยอมให้ ‘โจรพายเรือให้ตนนั่ง’ (ประสบความสำเร็จโดย ‘โจร’ สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่
.
7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ‘ธุระไม่ใช่’ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ‘ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม’ แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง ‘อุเบกขา’ โดยถือคติ ‘วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด’ ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ หรือ ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
.
8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ ‘เสพติด’ การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่ อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
.
.รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’
.
ใน แง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก ‘คนไร้ค่า’ ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ‘ยัยแจ๋ว’ ‘สาวฉันทนา’ ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ‘ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก’ (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้จึงไม่ใช่ ‘อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ’ แต่เป็นพวก ‘อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า’ เสียมากกว่า
.
ประวัติ ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ ‘อับอายจนกลายเป็นโทสะ’ หรือ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ ‘จับได้ไล่ทัน’ หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ ‘พวกมากลากไป’ มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก ‘โดดเดี่ยว’
..
กลายร่างเป็น ‘คนชั่ว’
.
เมื่อ พิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อม เสียต่อตนเองและคนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ ‘คนไร้ค่า’ ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ‘ร่วมขบวนการโกงกิน’
.
โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ‘ซื้อตำแหน่ง’ คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ‘ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน’ จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ ‘รับใช้นายจนพอแรง’ แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง ‘เลีย’ นายแบบ ‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความ เป็นมนุษย์ของตนเองลง
.
ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัยทำการ ค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น ‘อาเหลียง’ นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก
.
อาจกล่าวได้ว่าคหบดี ที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น ‘อาเหลียง’ โกงมา) ‘เก่งบวกเฮง’ ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด
.
คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด
..
ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย
.
คน ที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง ‘คนไร้ค่า’ และ ‘คนชั่ว’ ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ
.
1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น ‘Dead Wood’ เช่นนี้
.
2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน
.
3. ‘ยัยแจ๋ว’ ‘ยัยเอี้ยง’ ‘ยัยเอื้อง’ ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี
.
4. ลูกน้องก็พึงสังเกต ‘เจ้านาย’ ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง
.
5. ‘สามล้อ’ หรือ ‘แท็กซี่’ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น
.
.
ช่วย กันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น ‘คนไร้ค่า’ เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)
ใน สังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น ‘คนไร้ค่า’ เป็นยิ่งกว่า ‘ไม้แก่ดัดยาก’ คือมีสถานะคล้าย ‘แตงเถาตาย’ หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า
.
บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน ช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ ‘กลายพันธุ์’ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า ‘คนไร้ค่า’ และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง
.
.
ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า
.
บุคคลผู้เป็น ‘คนไร้ค่า’ มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:
.
1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก ‘นิยมวัตถุ’ ซึ่งต่างจาก ‘วัตถุนิยม’ (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ ‘จิตนิยม’ (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น
.
2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ‘ชาล้นแก้ว’ บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ‘ยืมจมูกคนอื่นหายใจ’ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ
.
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์
.
4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ ‘ผักชีโรยหน้า’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ‘ไถ’ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด
.
5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ‘ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน’ หรือ ‘หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ’ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย
.
6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี ‘เลีย’ หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก ‘พายเรือให้โจรนั่ง’ แล้ว ยังยอมให้ ‘โจรพายเรือให้ตนนั่ง’ (ประสบความสำเร็จโดย ‘โจร’ สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่
.
7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ‘ธุระไม่ใช่’ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ‘ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม’ แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง ‘อุเบกขา’ โดยถือคติ ‘วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด’ ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ หรือ ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
.
8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ ‘เสพติด’ การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่ อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
.
.รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’
.
ใน แง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก ‘คนไร้ค่า’ ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ‘ยัยแจ๋ว’ ‘สาวฉันทนา’ ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ‘ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก’ (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้จึงไม่ใช่ ‘อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ’ แต่เป็นพวก ‘อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า’ เสียมากกว่า
.
ประวัติ ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง
.
อย่างไรก็ตาม ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ ‘อับอายจนกลายเป็นโทสะ’ หรือ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ ‘จับได้ไล่ทัน’ หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ ‘พวกมากลากไป’ มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก ‘โดดเดี่ยว’
..
กลายร่างเป็น ‘คนชั่ว’
.
เมื่อ พิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อม เสียต่อตนเองและคนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ ‘คนไร้ค่า’ ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ‘ร่วมขบวนการโกงกิน’
.
โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ‘ซื้อตำแหน่ง’ คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ‘ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน’ จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ ‘รับใช้นายจนพอแรง’ แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง ‘เลีย’ นายแบบ ‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความ เป็นมนุษย์ของตนเองลง
.
ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัยทำการ ค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น ‘อาเหลียง’ นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก
.
อาจกล่าวได้ว่าคหบดี ที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น ‘อาเหลียง’ โกงมา) ‘เก่งบวกเฮง’ ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด
.
คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด
..
ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย
.
คน ที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง ‘คนไร้ค่า’ และ ‘คนชั่ว’ ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ
.
1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น ‘Dead Wood’ เช่นนี้
.
2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน
.
3. ‘ยัยแจ๋ว’ ‘ยัยเอี้ยง’ ‘ยัยเอื้อง’ ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี
.
4. ลูกน้องก็พึงสังเกต ‘เจ้านาย’ ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง
.
5. ‘สามล้อ’ หรือ ‘แท็กซี่’ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น
.
.
ช่วย กันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น ‘คนไร้ค่า’ เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ
เหตุผลที่เราควรรักแม่มากกว่ารักแฟน
เหตุผลที่เราควรรักแม่มากกว่ารักแฟน
ถ้าไม่มีแม่ แฟนเราก็จะไม่มีคนรักดีๆ อย่างนี้
...เผลอๆ เธออาจต้องอยู่เป็นโสด
แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
...เพราะเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง
แม่อาจเคยตีเราให้เจ็บตัว
...แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
แม่ส่งเสียเรา
...แต่เราต้องส่งเสียแฟน
แม่ไม่เคยบอกเลิก
...แต่แฟน - ฮือ ฮือ ฮือ
แม่เป็นแบงค์ส่วนตัว
...ที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ยและไม่ค่อยทวงคืน
แม่เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก
...โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
แม่เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ
ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน
แม่ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
แม่สอนให้เราพูดได้
...เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนเราโต (แย่จัง…)
แฟนไม่ได้มีนม (สดจากเต้า) ให้กินฟรีเหมือนแม่นี่หว่า
แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน
...เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน
ก็ในประเทศนี้ไม่มี “วันแฟนแห่งชาติ” เหมือนวันแม่ใช่มั๊ย
ถ้าไม่มีแม่ แฟนเราก็จะไม่มีคนรักดีๆ อย่างนี้
...เผลอๆ เธออาจต้องอยู่เป็นโสด
แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
...เพราะเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง
แม่อาจเคยตีเราให้เจ็บตัว
...แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
แม่ส่งเสียเรา
...แต่เราต้องส่งเสียแฟน
แม่ไม่เคยบอกเลิก
...แต่แฟน - ฮือ ฮือ ฮือ
แม่เป็นแบงค์ส่วนตัว
...ที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ยและไม่ค่อยทวงคืน
แม่เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก
...โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
แม่เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ
ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน
แม่ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
แม่สอนให้เราพูดได้
...เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนเราโต (แย่จัง…)
แฟนไม่ได้มีนม (สดจากเต้า) ให้กินฟรีเหมือนแม่นี่หว่า
แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน
...เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน
ก็ในประเทศนี้ไม่มี “วันแฟนแห่งชาติ” เหมือนวันแม่ใช่มั๊ย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
อาชีพที่ดี
ม่มีลูกน้อง
ก็ไม่มีหัวหน้า
ไม่มีคนกวาดถนน
รัฐมนตรีก็ไม่อาจอยู่ได้
อาชีพที่ดีที่สุด
คืออาชีพที่ทำแล้วปรกติสุขที่สุด
ความสูงส่ง และสุจริตของอาชีพ
อยู่ที่จิตใจของผู้กระทำ
ไม่ได้อยู่ที่การยอมรับนับถือ
ของผู้ที่ไม่รู้ว่า ความสูงส่งและสุจริตอยู่ที่ไหน
ขอเพียงยอมรับและตั้งใจกระทำด้วยดี
คนกวาดถนน หรือรัฐมนตรี
โสเภณี หรือคุณหญิง
ก็มีความหมายและคุณค่าเท่ากัน
" ปมด้อยเกิดขึ้น
เมื่อจิตใจขาดความเมตตาตนเอง"
ก็ไม่มีหัวหน้า
ไม่มีคนกวาดถนน
รัฐมนตรีก็ไม่อาจอยู่ได้
อาชีพที่ดีที่สุด
คืออาชีพที่ทำแล้วปรกติสุขที่สุด
ความสูงส่ง และสุจริตของอาชีพ
อยู่ที่จิตใจของผู้กระทำ
ไม่ได้อยู่ที่การยอมรับนับถือ
ของผู้ที่ไม่รู้ว่า ความสูงส่งและสุจริตอยู่ที่ไหน
ขอเพียงยอมรับและตั้งใจกระทำด้วยดี
คนกวาดถนน หรือรัฐมนตรี
โสเภณี หรือคุณหญิง
ก็มีความหมายและคุณค่าเท่ากัน
" ปมด้อยเกิดขึ้น
เมื่อจิตใจขาดความเมตตาตนเอง"
ใจเขาใจเรา
อยู่ในสังคมมนุษย์
สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไป
ใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก
เมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่น
ไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใคร
อย่าเอาเปรียบเขาก็พอ
เมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเอง
แต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่น
เราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บ
แต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัว
ถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้ว
ก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิด
ไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขา
หรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น
สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไป
ใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ
คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก
เมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่น
ไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใคร
อย่าเอาเปรียบเขาก็พอ
เมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเอง
แต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่น
เราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บ
แต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัว
ถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้ว
ก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิด
ไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขา
หรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้น
การล้างบาป
มันบาปนักหรือที่นกกินหนอนเป็นอาหาร
ก็ผู้ที่เอาแต่สำราญสำรวมโดยไม่ช่วยเหลือ
เพื่อมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากล่ะ
จะไม่มีบาปเลยสักนิดหรือไฉน
ถ้าบาปคือสิ่งที่ล้างได้หรือไม่ได้โดยแน่นอนละก็
บางชีวิตคงเหลิงเจิ่ง บางชีวิตคงเศร้าหมองไม่รู้สิ้น
บาปนั้นคือเหตุที่ดลบันดาลความทุกข์แก่ชีวิต
ย่อมล้างได้บ้างไม่ได้บ้างตามเหตุตามปัจจัย
บาปไม่อาจระบุได้ด้วยการกระทำ
จิตใจของผู้กระทำจึงเป็นเหตุแห่งบาป
เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งริมทาง
อาจเป็นบาปที่ทำลายล้างได้ไม่นานนัก
เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรไปแล้ว
ถึงแม้ล้างบาปในใจได้หมดลง
แต่ธรรมชาติก็ยังคงอำนาจอยู่
จงขออภัยต่อธรรมชาติ
ด้วยการเริ่มต้นใหม่อย่างอ่อนโยนต่อชีวิต และโลก
ก็ผู้ที่เอาแต่สำราญสำรวมโดยไม่ช่วยเหลือ
เพื่อมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากล่ะ
จะไม่มีบาปเลยสักนิดหรือไฉน
ถ้าบาปคือสิ่งที่ล้างได้หรือไม่ได้โดยแน่นอนละก็
บางชีวิตคงเหลิงเจิ่ง บางชีวิตคงเศร้าหมองไม่รู้สิ้น
บาปนั้นคือเหตุที่ดลบันดาลความทุกข์แก่ชีวิต
ย่อมล้างได้บ้างไม่ได้บ้างตามเหตุตามปัจจัย
บาปไม่อาจระบุได้ด้วยการกระทำ
จิตใจของผู้กระทำจึงเป็นเหตุแห่งบาป
เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งริมทาง
อาจเป็นบาปที่ทำลายล้างได้ไม่นานนัก
เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรไปแล้ว
ถึงแม้ล้างบาปในใจได้หมดลง
แต่ธรรมชาติก็ยังคงอำนาจอยู่
จงขออภัยต่อธรรมชาติ
ด้วยการเริ่มต้นใหม่อย่างอ่อนโยนต่อชีวิต และโลก
จัดอันดับหนังทำรายได้มากที่สุดในโลก
เกร็ดความรู้รอบตัววันละนิด วันนี้จะมาเสนอเรื่องภาพยนตร์ที่ทำรายได้มากที่สุดในโลก
หนังที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกเรียงตามอันดับคือ
10. Transformer Revenge of the Fallen เรื่องนี้เชื่อว่าทุกคนรู้จักกันดี ทรานส์ฟอร์มเมอร์ภาค2นั่นเอง ทำรายได้ทั้งสิ้น $402,076,689
9. Spider-man อันนี้ก็รู้จักกันทุกคนอยู่แล้วสำหรับ ไอ้แมงมุมภาค 1 : $403,706,375
8. Pirates of the Caribbean (Dead Man’s Chest) อันนี้ก็ดังมากในไทยอีกเรื่องสำหรับ ไพเรทภาค 2 : $423,032,628
7. Starwars Episode I (สตาร์วอส์ภาคหนึ่ง) : $431,065,444
6. E.T. The Extra Terrestrial อันนี้เชื่อว่าบางคนอาจไม่รู้จักเพราะเป็นหนังเก่า (1982) : $434,949,459
5. Shrek 2 เจ้ายักษ์เขียว 2 คงรู้จักกันอยู่แล้ว : $436,471,036
4. Star Wars ภาค4 นั่นเอง
3. The Dark Knight แบทแมนภาคที่ดังที่สุดนั่นเอง : $533,316,061
2. Titanic หนังอมตะตลอดกาลเรื่องนี้ทำรายได้ไปทั้งสิ้น : $600,779,824
1. Avatar อวตาลเข้าปีเดียวก็ทำรายได้ถล่มทลาย ชนะ titanic ไปเรียบร้อยแล้วด้วยรายได้ $740,916,066
หนังที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกเรียงตามอันดับคือ
10. Transformer Revenge of the Fallen เรื่องนี้เชื่อว่าทุกคนรู้จักกันดี ทรานส์ฟอร์มเมอร์ภาค2นั่นเอง ทำรายได้ทั้งสิ้น $402,076,689
9. Spider-man อันนี้ก็รู้จักกันทุกคนอยู่แล้วสำหรับ ไอ้แมงมุมภาค 1 : $403,706,375
8. Pirates of the Caribbean (Dead Man’s Chest) อันนี้ก็ดังมากในไทยอีกเรื่องสำหรับ ไพเรทภาค 2 : $423,032,628
7. Starwars Episode I (สตาร์วอส์ภาคหนึ่ง) : $431,065,444
6. E.T. The Extra Terrestrial อันนี้เชื่อว่าบางคนอาจไม่รู้จักเพราะเป็นหนังเก่า (1982) : $434,949,459
5. Shrek 2 เจ้ายักษ์เขียว 2 คงรู้จักกันอยู่แล้ว : $436,471,036
4. Star Wars ภาค4 นั่นเอง
3. The Dark Knight แบทแมนภาคที่ดังที่สุดนั่นเอง : $533,316,061
2. Titanic หนังอมตะตลอดกาลเรื่องนี้ทำรายได้ไปทั้งสิ้น : $600,779,824
1. Avatar อวตาลเข้าปีเดียวก็ทำรายได้ถล่มทลาย ชนะ titanic ไปเรียบร้อยแล้วด้วยรายได้ $740,916,066
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
การล้างบาป
มันบาปนักหรือที่นกกินหนอนเป็นอาหาร
ก็ผู้ที่เอาแต่สำราญสำรวมโดยไม่ช่วยเหลือ
เพื่อมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากล่ะ
จะไม่มีบาปเลยสักนิดหรือไฉน
ถ้าบาปคือสิ่งที่ล้างได้หรือไม่ได้โดยแน่นอนละก็
บางชีวิตคงเหลิงเจิ่ง บางชีวิตคงเศร้าหมองไม่รู้สิ้น
บาปนั้นคือเหตุที่ดลบันดาลความทุกข์แก่ชีวิต
ย่อมล้างได้บ้างไม่ได้บ้างตามเหตุตามปัจจัย
บาปไม่อาจระบุได้ด้วยการกระทำ
จิตใจของผู้กระทำจึงเป็นเหตุแห่งบาป
เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งริมทาง
อาจเป็นบาปที่ทำลายล้างได้ไม่นานนัก
เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรไปแล้ว
ถึงแม้ล้างบาปในใจได้หมดลง
แต่ธรรมชาติก็ยังคงอำนาจอยู่
จงขออภัยต่อธรรมชาติ
ด้วยการเริ่มต้นใหม่อย่างอ่อนโยนต่อชีวิต และโลก
ก็ผู้ที่เอาแต่สำราญสำรวมโดยไม่ช่วยเหลือ
เพื่อมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากล่ะ
จะไม่มีบาปเลยสักนิดหรือไฉน
ถ้าบาปคือสิ่งที่ล้างได้หรือไม่ได้โดยแน่นอนละก็
บางชีวิตคงเหลิงเจิ่ง บางชีวิตคงเศร้าหมองไม่รู้สิ้น
บาปนั้นคือเหตุที่ดลบันดาลความทุกข์แก่ชีวิต
ย่อมล้างได้บ้างไม่ได้บ้างตามเหตุตามปัจจัย
บาปไม่อาจระบุได้ด้วยการกระทำ
จิตใจของผู้กระทำจึงเป็นเหตุแห่งบาป
เด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งริมทาง
อาจเป็นบาปที่ทำลายล้างได้ไม่นานนัก
เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่สมควรไปแล้ว
ถึงแม้ล้างบาปในใจได้หมดลง
แต่ธรรมชาติก็ยังคงอำนาจอยู่
จงขออภัยต่อธรรมชาติ
ด้วยการเริ่มต้นใหม่อย่างอ่อนโยนต่อชีวิต และโลก
ผู้นำกับอำนาจ
ถ้าเรามองสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันในอีกมุมมองหนึ่ง เราก็จะพบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันสามารถเป็นกรณีศึกษาชั้นดีในเรื่องของภาวะผู้นำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำฝ่ายไหนหรือระดับไหนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในครั้งนี้ เรื่องที่น่าสนใจก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ อำนาจ และอำนาจหน้าที่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะมีความเข้าใจอยู่ตลอดเวลาว่าผู้ที่เป็นผู้นำนั้น นอกเหนือจากบทบาทของความเป็นผู้นำที่มีอยู่แล้ว ผู้นำยังจะต้องมีทั้งอำนาจ หรือ Power ที่จะสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำในเรื่องต่างๆ ตามนโยบายได้ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะพบประเด็นน่าสนใจว่าการเป็นผู้นำนั้นไม่ได้หมายความจะต้องมีอำนาจควบคู่ด้วยเสมอไป ผู้นำนั้นอาจจะเป็นผู้นำเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ แต่อำนาจที่ควรจะมากับตำแหน่งนั้นกลับไม่ได้มากับตัวผู้นำด้วย
ในทฤษฎีทางด้านการจัดการพื้นฐานนั้น เขามีการแบ่งไว้อย่างชัดเจนระหว่างคำว่าอำนาจ และอำนาจหน้าที่ หรือ Power และ Authority โดยอำนาจหน้าที่นั้นจะมาคู่กับตำแหน่งงานต่างๆ โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ นั้นควรจะต้องมีอำนาจหน้าที่ ซึ่งมาควบคู่กับการดำรงตำแหน่งต่างๆ ส่วนอำนาจหรือ Power นั้นอาจจะมาคู่กับการมีตำแหน่งงานต่างๆ หรืออยู่กับบุคคลที่ไม่มีตำแหน่งงานต่างๆ ก็ได้ เราอาจจะเห็นได้บ่อยๆ ว่าหลายคนที่ไม่มีตำแหน่งบริหาร ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งงาน แต่เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ทำให้มีอำนาจที่จะชี้นำหรือขอให้ผู้อื่นสามารถทำงานต่างๆ ตามที่ต้องการได้
ตามหลักการแล้ว บุคคลที่เป็นผู้นำซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงหรือสูงสุดในองค์กร ควรจะต้องมีอำนาจหน้าที่หรืออำนาจตามหน้าที่ แต่ปัจจุบันเราจะพบมากขึ้นว่าผู้ที่เป็นผู้บริหารนั้นมีเพียงแค่หน้าที่แต่สิ่งที่หายไปคืออำนาจ นั้นคือผู้นำกลับไม่มีอำนาจในการสั่งการ หรือ ขับเคลื่อนนโยบายที่กำหนดขึ้นไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง คำถามสำคัญก็คือทำไมผู้นำที่ควรจะมีทั้งอำนาจและหน้าที่ กลับมีแต่หน้าที่แต่ไม่มีอำนาจ?? ซึ่งก็นำไปสู่คำถามสำคัญอีกคำถามว่าอำนาจนั้นมาจากที่ใด?? ทำไมอำนาจซึ่งควรจะมาพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่สำหรับผู้บริหารในบางองค์กรหรือบางท่านแล้ว เมื่อดำรงตำแหน่งกลับไม่มีอำนาจ?? หรือ ทำไมคนบางคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ ทั้งสิ้น กลับมีอำนาจ สามารถชี้นำ ชักจูงผู้อื่นให้คล้อยตามและปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองต้องการได้??
เพื่อหาคำตอบต่อคำถามข้างต้น ผมขอชวนทุกท่านมาลองดูจากกรณีศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยรัฐดูนะครับ ในแวดวงมหาวิทยาลัยนั้น ดูเหมือนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนั้นมีแต่ตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง เนื่องจากในสังคมวิชาการนั้นการที่จะสั่งการผู้อื่นนั้นเป็นไปได้ยาก และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นไปตามวาระ เมื่อหมดวาระจากผู้บริหารแล้วก็กลับลงมาเป็นอาจารย์ธรรมดา แต่สิ่งที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมี คืออำนาจที่เกิดขึ้นจากบารมีหรือความศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยนั้นมักจะเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ของบรรดาคณาจารย์ทั่วๆ ไป นอกจากนี้ความดี ความรู้ ความสามารถของผู้บริหารเหล่านั้นก็ทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแต่ละท่านมีอำนาจในการสั่งการ หรือ ชี้นำให้คนปฏิบัติตามที่แตกต่างกัน
ทีนี้เมื่อนำกรณีของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็คงพอทำให้เห็นนะครับว่าการขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศหรือองค์กรได้นั้น เราไม่สามารถที่จะหวังหรือพึ่งพาต่ออำนาจที่มาพร้อมกับหน้าที่เพียงอย่างเดียว จริงอยู่ที่เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำ อำนาจตามหน้าที่ควรที่จะตามมาด้วย แต่เราจะเห็นจากทางปฏิบัติในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชามีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่า อำนาจที่มาตามหน้าที่นั้น อาจจะไม่สามารถใช้ได้
กรณีศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าผู้นำนอกเหนือจากจะหวังพึ่งพาอำนาจตามหน้าที่แล้ว ยังต้องสร้างอำนาจจากแหล่งอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นจากศรัทธา จากบารมี จากความเคารพ ฯลฯ ซึ่งก็มีคำถามต่อครับว่า แล้วอำนาจที่เกิดขึ้นจากศรัทธา บารมี จากความเคารพนั้นมาจากที่ใด?? เราจะพบว่าอำนาจต่างๆ เหล่านี้คงจะต้องใช้เวลาในการสะสมและสร้างพอสมควร อีกทั้งผลงานและความสามารถที่เกิดขึ้นในอดีต รวมทั้งกิจกรรม พฤติกรรม และสิ่งต่างๆ ที่ทำขึ้นในอดีตนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่อำนาจจากศรัทธา บารมี และความเคารพ
อย่างไรก็ดีคำถามที่อาจจะเกิดขึ้นมาในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ อำนาจนั้นสามารถหาซื้อได้หรือไม่? และถ้าอาศัยการประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์ดีๆ จะนำไปสู่การมีอำนาจหรือไม่? ตามหลักวิชาการแล้ว เงินและการสร้างภาพลักษณ์ไม่ควรจะนำไปสู่อำนาจ แต่ในทางปฏิบัติแล้วเราจะเห็นตัวอย่างมากมายว่าเงินนำไปสู่อำนาจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่มี หรือ ถ้ามีการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ก็จะทำให้คนเข้าใจและรับรู้ว่ามีผลงานในอดีตที่ดี ซึ่งก็จะนำไปสู่อำนาจที่เกิดจากบารมีได้ในที่สุด อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าอำนาจที่เกิดขึ้นจากการซื้อ และการสร้างภาพลักษณ์นั้นไม่ยั่งยืน อำนาจที่จะมีความยั่งยืน ควรจะมาจากความศรัทธา จากบารมี และจากความเคารพนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำจะต้องแสวงหาและพัฒนา
ในทฤษฎีทางด้านการจัดการพื้นฐานนั้น เขามีการแบ่งไว้อย่างชัดเจนระหว่างคำว่าอำนาจ และอำนาจหน้าที่ หรือ Power และ Authority โดยอำนาจหน้าที่นั้นจะมาคู่กับตำแหน่งงานต่างๆ โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ นั้นควรจะต้องมีอำนาจหน้าที่ ซึ่งมาควบคู่กับการดำรงตำแหน่งต่างๆ ส่วนอำนาจหรือ Power นั้นอาจจะมาคู่กับการมีตำแหน่งงานต่างๆ หรืออยู่กับบุคคลที่ไม่มีตำแหน่งงานต่างๆ ก็ได้ เราอาจจะเห็นได้บ่อยๆ ว่าหลายคนที่ไม่มีตำแหน่งบริหาร ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งงาน แต่เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ทำให้มีอำนาจที่จะชี้นำหรือขอให้ผู้อื่นสามารถทำงานต่างๆ ตามที่ต้องการได้
ตามหลักการแล้ว บุคคลที่เป็นผู้นำซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงหรือสูงสุดในองค์กร ควรจะต้องมีอำนาจหน้าที่หรืออำนาจตามหน้าที่ แต่ปัจจุบันเราจะพบมากขึ้นว่าผู้ที่เป็นผู้บริหารนั้นมีเพียงแค่หน้าที่แต่สิ่งที่หายไปคืออำนาจ นั้นคือผู้นำกลับไม่มีอำนาจในการสั่งการ หรือ ขับเคลื่อนนโยบายที่กำหนดขึ้นไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง คำถามสำคัญก็คือทำไมผู้นำที่ควรจะมีทั้งอำนาจและหน้าที่ กลับมีแต่หน้าที่แต่ไม่มีอำนาจ?? ซึ่งก็นำไปสู่คำถามสำคัญอีกคำถามว่าอำนาจนั้นมาจากที่ใด?? ทำไมอำนาจซึ่งควรจะมาพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่สำหรับผู้บริหารในบางองค์กรหรือบางท่านแล้ว เมื่อดำรงตำแหน่งกลับไม่มีอำนาจ?? หรือ ทำไมคนบางคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ ทั้งสิ้น กลับมีอำนาจ สามารถชี้นำ ชักจูงผู้อื่นให้คล้อยตามและปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองต้องการได้??
เพื่อหาคำตอบต่อคำถามข้างต้น ผมขอชวนทุกท่านมาลองดูจากกรณีศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยรัฐดูนะครับ ในแวดวงมหาวิทยาลัยนั้น ดูเหมือนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับต่างๆ ของมหาวิทยาลัยนั้นมีแต่ตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง เนื่องจากในสังคมวิชาการนั้นการที่จะสั่งการผู้อื่นนั้นเป็นไปได้ยาก และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยนั้นจะเป็นไปตามวาระ เมื่อหมดวาระจากผู้บริหารแล้วก็กลับลงมาเป็นอาจารย์ธรรมดา แต่สิ่งที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมี คืออำนาจที่เกิดขึ้นจากบารมีหรือความศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยนั้นมักจะเป็นอาจารย์หรือรุ่นพี่ของบรรดาคณาจารย์ทั่วๆ ไป นอกจากนี้ความดี ความรู้ ความสามารถของผู้บริหารเหล่านั้นก็ทำให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยแต่ละท่านมีอำนาจในการสั่งการ หรือ ชี้นำให้คนปฏิบัติตามที่แตกต่างกัน
ทีนี้เมื่อนำกรณีของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ก็คงพอทำให้เห็นนะครับว่าการขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศหรือองค์กรได้นั้น เราไม่สามารถที่จะหวังหรือพึ่งพาต่ออำนาจที่มาพร้อมกับหน้าที่เพียงอย่างเดียว จริงอยู่ที่เมื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำ อำนาจตามหน้าที่ควรที่จะตามมาด้วย แต่เราจะเห็นจากทางปฏิบัติในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชามีทางเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่า อำนาจที่มาตามหน้าที่นั้น อาจจะไม่สามารถใช้ได้
กรณีศึกษาสถานการณ์ปัจจุบันทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าผู้นำนอกเหนือจากจะหวังพึ่งพาอำนาจตามหน้าที่แล้ว ยังต้องสร้างอำนาจจากแหล่งอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นจากศรัทธา จากบารมี จากความเคารพ ฯลฯ ซึ่งก็มีคำถามต่อครับว่า แล้วอำนาจที่เกิดขึ้นจากศรัทธา บารมี จากความเคารพนั้นมาจากที่ใด?? เราจะพบว่าอำนาจต่างๆ เหล่านี้คงจะต้องใช้เวลาในการสะสมและสร้างพอสมควร อีกทั้งผลงานและความสามารถที่เกิดขึ้นในอดีต รวมทั้งกิจกรรม พฤติกรรม และสิ่งต่างๆ ที่ทำขึ้นในอดีตนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่อำนาจจากศรัทธา บารมี และความเคารพ
อย่างไรก็ดีคำถามที่อาจจะเกิดขึ้นมาในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ อำนาจนั้นสามารถหาซื้อได้หรือไม่? และถ้าอาศัยการประชาสัมพันธ์และการสร้างภาพลักษณ์ดีๆ จะนำไปสู่การมีอำนาจหรือไม่? ตามหลักวิชาการแล้ว เงินและการสร้างภาพลักษณ์ไม่ควรจะนำไปสู่อำนาจ แต่ในทางปฏิบัติแล้วเราจะเห็นตัวอย่างมากมายว่าเงินนำไปสู่อำนาจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่มี หรือ ถ้ามีการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ดีๆ ก็จะทำให้คนเข้าใจและรับรู้ว่ามีผลงานในอดีตที่ดี ซึ่งก็จะนำไปสู่อำนาจที่เกิดจากบารมีได้ในที่สุด อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่าอำนาจที่เกิดขึ้นจากการซื้อ และการสร้างภาพลักษณ์นั้นไม่ยั่งยืน อำนาจที่จะมีความยั่งยืน ควรจะมาจากความศรัทธา จากบารมี และจากความเคารพนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำจะต้องแสวงหาและพัฒนา
วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553
ทำไมคนเราถึงแก่......
ทำไมคนเราถึงแก่
มีมากมายหลายวิธีที่คุณจะสามารถบอกเล่าทฤษฎีที่เกี่ยวกับอายุได้ แต่ที่ได้รับการยอมรับและกล่าวถึงมากที่สุด มีแค่ 3 ทฤษฎีเท่านั้น The Genetic Theory: ทฤษฎีหลักพันธุศาสตร์ซึ่งแม้นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอธิบายว่า อะไรเป็นตัวแปรทำให้คนดูแตกต่างกันแม้ว่าจะมีอายุเท่ากัน แต่ที่หลักพันธุศาสตร์สามารถยืนยันได้ก็คือ เด็กที่เกิดจากพ่อแม่อายุยืน ก็มักมีอายุยืนยาวนานเหมือนกับพ่อแม่ด้วย รวมทั้งผู้หญิงมักมีอายุยืนกว่าผู้ชาย
The Free Redical Theory: ทฤษฎีอนุมูลอิสระทุกวันนี้มีคนทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสารต่อต้านอนุมูลอิสระมามาก ด้วยการใช้สารต่อต้านแอนตี้ออกซิแดนต์(คล้ายวิตามินอีและดี)เพื่อป้องกันก่อนที่สารดังกล่าวเข้ามาทำร้ายเซลล์ของเรา ทั้งนี้ศาสตราจารย์ Jeffery Blumberg of Nutrition at Tulfts Univesity กล่าวว่าร่างกายของเราเองก็สามารถสร้างเอนไซม์ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระให้ลดน้อยลงไปได้เหมือนกัน แต่อาหารก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราเสื่อมลงได้ เพราะเดี๋ยวนี้การอดอาหารหรือแม้แต่กินอาหารแบบไม่บันยะบันยัง เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปโรคต่างๆจะถามหาได้ เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ การเสื่อมของเม็ดสี พาร์กินสัน และอนุมูลอิสระยังโจมตีคอลลาเจนและอิลาสติน ที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อ จนทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนผิวได้
The Hormonal Theory: ทฤษฎีฮอร์โมน เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง วัยหมดประจำเดือน โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ ฯลฯ เกิดขึ้นเพราะระดับของฮอร์โมนลดลง มักเกิดขึ้นกับคนวัย 30 ขึ้นไป และยิ่งใช้ชีวิตรีบเร่ง คุณก็จะแก่เร็วยิ่งขึ้นอีก
น้ำผลไม้ที่ควรดื่ม ตามกรุ๊ปเลือด

คนเลือดกรุ๊ปโอ
ส่วนมากจะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก เสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคอ้วน เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ
• น้ำสับปะรด
• น้ำลูกพรุน แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอปเปิล น้ำส้ม น้ำกะหล่ำปลี
เลือดกรุ๊ปเอ
เรียกว่าตรงข้ามกับกรุ๊ปโอ แทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่น
• ไส้กรอก
• แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ
• น้ำแอปพริคอต
• น้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
• น้ำเกรปฟรุต
• น้ำสับปะรด
• น้ำมะนาว เพราะมี วิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ
เลือดกรุ๊ปบี
เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวก
• ผักใบเขียว
• ตับ
• ไข่
• นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ
• น้ำกะหล่ำปลี
• น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
• น้ำมะละกอ
• น้ำสับปะรด เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะ แต่ให้ระวังการดื่มน้ำมะเขือเทศ
เลือดกรุ๊ปเอบี
คนเลือดกรุ๊ปนี้ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น
• บร็อกโคลี่
• เชอร์รี่
• ส้มโอ
• เกรปฟรุต
• กะหล่ำปลี
• และดื่มน้ำแคร์รอต
• น้ำเซเลอรี
•น้ำแครนเบอร์รี่
• น้ำองุ่น
น้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)