ปฏิทิน

< /embed>

นาฬิกา

< /embed>

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ไทยใหญ่ : คนไทยที่ไม่ใช่ไทย

ชาวไทยใหญ่ หรือ ฉาน หรือ ฌาน เป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเขตพม่า ตอนใต้จีน และภาคเหนือของประเทศไทย บางท่านว่าคำว่า ฉาน คือที่มาของคำว่า สยามในพม่ามีรัฐใหญ่ของชาวไทยใหญ่ ชื่อ ฉานเสตท SHAN STATE ในปีพ.ศ. 2491รัฐบาลพม่าได้ผนวกดินแดนรัฐฉานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่าตามข้อตกลง ของสนธิสัญญาปางโหลง ซึ่งลงนามโดย อู อองซาน ร่วมกับผู้แทนชนกลุ่มน้อยรัฐฉานเพื่อการหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โดยมีเงื่อนไขที่ว่า รัฐบาลพม่าจะยอมให้ชนกลุ่มน้อยปกครองตนเองและเป็นเอกราช เพื่อพ้นระยะเวลาสิบปี


ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ. 2500 ซึ่งครบกำหนดสิบปีของสัญญารัฐบาลพม่ากลับเพิกเฉย ชนกลุ่มน้อยจึงถือว่ารัฐบาลพม่าผิดคำมั่นสัญญา จึงเป็นมูลเหตุให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ดำเนินการต่อต้านรัฐบาลพม่าอย่างเปิดเผย โดยมีพื้นที่แต่ละชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เป็นฐานที่มั่นทางการพม่าทำการปราบ ปรามเกิดเป็นการสู้รบและสงครามที่ยืดเยื้อ ปัญหาเกี่ยวกับการต่อต้านรัฐบาลพม่าของชนกลุ่มน้อยจึงเรื้อรังสืบเนื่องมาจน ทุกวันนี้และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงตลอดแนวชายแดน ไทย-พม่าโดยอาณาเขตของรัฐฉานนั้นติดกับแนวชายแดนไทยตั้งแต่บริเวณจังหวัด แม่ฮ่องสอนมาจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ในอำเภอเวียงแหง อำเภอฝางและอำเภอเชียงดาวและสิ้นสุดที่อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายด้วยความ ไม่สงบในพม่า การปกครองที่ไม่เรียบร้อย และการสู้รบ ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนไม่น้อยอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย
ชาวไทยใหญ่เหล่านี้เป็นผู้ลี้ภัย ที่หวังพึ่งพระบรมโพธิสมภาร


กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาติ(UNHCR)ได้ร่วม กันจัดทำทะเบียนและการช่วยเหลือด้านอื่นๆตามความจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามข้อ ตกลงการทำงาน(Working Arrangement) 7 ประการ ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับUNHCR โดยลงนาม เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
ข้อตกลง 7 ประการได้แก่

1. การพิจารณารับเข้าลี้ภัย เจ้าหน้าที่ไทยมีสิทธิ์ให้หรือปฏิเสธการให้ที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีการคัดกรองสถานภาพผู้ลี้ภัยเมื่อมาถึง


2. การลงทะเบียน กระทรวงมหาดไทยจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ช่วยการลงทะเบียนในพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งตัวออกนอกประเทศ โดยให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ไม่อนุญาตให้ปลูกสร้างขึ้นใหม่


3. การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ กระทรวงมหาดไทยหรือทหารเป็นหน่วยงานที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้า หลวงใหญ่ฯ เข้าถึงพื้นที่พักพิงได้อย่างเสรีและไม่ชักช้าโดยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ส่วน กลาง ของไทยทราบล่วงหน้าก่อนในแต่ละครั้ง


4. การส่งตัวออกนอกประเทศ ไทยยินดีให้โอกาสแก่ผู้พลัดถิ่นที่จะเลือกกลับได้โดยเจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือ ทหาร จะช่วยประสานการกลับที่ปลอดภัย และเชิญเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ มาเป็นพยานและตรวจสอบความสมัครใจโดยไม่ขัดขวางกระบวนการเช่นให้สอบถามหัว หน้าครอบครัวมากกว่าถามเป็นบุคคล เมื่อสภาพการณ์เอื้ออำนวยต่อการส่งตัวกลับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้าหลวง ใหญ่ฯจะช่วยจัดการในการส่งตัวกลับโดยสมัครใจภายใต้การอนุญาตของรัฐบาลพม่า และดูแลการกลับพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกการกลับคืนถิ่นในประเทศพม่า


5. การย้ายพื้นที่พักพิงชั่วคราว เจ้าหน้าที่มหาดไทยหรือทหารมีสิทธ์ดำเนินการให้เป็นไปตามการตัดสินใจของ รัฐบาลไทยในการย้ายส่วนผู้พลัดถิ่นมีสองทางเลือกคือถูกย้ายหรือกลับพม่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯสนับสนุนการตัดสินใจของไทยและช่วยเคลื่อนย้ายผู้พลัด ถิ่นวัสดุที่พัก น้ำดื่ม รั้วและสิ่งอำนวยความสะดวกในการรักษาความปลอดภัย และการลงทะเบียน


6. ตัวแปรในการช่วยเหลือของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ การช่วยเหลือทุกอย่างต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไทย กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำกับ ดูแลให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและจัดการพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำนักงาน ข้าหลวงใหญ่ฯอาจให้ความช่วยเหลือ เพิ่มเติมแก่พื้นที่พักพิงชั่วคราวได้เพียงพอแก่ความต้องการพื้นฐาน ของชีวิตเท่านั้นเพื่อป้องกันแรง ดึงดูดใจผ่านทางรัฐบาลไทยและประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดเตรียมความช่วย เหลือดังกล่าว


7. ยุทธศาสตร์ระยะยาว คณะอนุกรรมการไทย-พม่าด้านบุคคลพลัดถิ่นและแรงงานผิดกฎหมายจะเป็นผู้จัดทำ ยุทธศาสตร์ หรือแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ จะเจรจากับพม่าเพื่อสร้างความมั่นใจ ในบทบาทของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ในการดูแลการส่งกลับอย่างปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือในการตั้งถิ่นฐานโดย เร็ว โดยสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจแก่รัฐบาลพม่าคนไทยใหญ่จำนวนนับหมื่นคนลี้ภัย เข้ามาในประเทศไทย เพิ่งเข้ามาบ้าง เข้ามานานแล้วบ้าง แต่รัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนกับคนเหล่านี้ไม่มีการกำหนดให้ไทยใหญ่เป็น ชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย และไม่ยอมรับให้คนกลุ่มนี้เป็นคนไทยรวมทั้งไม่ยอมรับว่า กลุ่มไทยใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่รัฐไทยต้องช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม เพื่อรอการส่งกลับประเทศต้นทางเมื่อประเทศต้นทางมีความปลอดภัยเมื่อรัฐไม่ จัดพื้นที่พักพิงชั่วคราวไว้รองรับที่ชายแดน ทำให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากทะลักเข้าสู่ตัวเมืองด้านในเครือข่ายปฏิบัติงาน เพื่อผู้หญิงชาวไทยใหญ่หรือ สวอน ได้เคยตอบไว้ในเอกสารเรื่อง "ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ (ฉาน)" เมื่อปี 2546 ว่าเป็นเพราะรัฐไทยมีความเชื่อผิดๆ เก้าประการดังต่อไปนี้

ประการแรก ชาวไทยใหญ่เป็นแรงงานอพยพไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ในความเป็นจริง ชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาในเมืองไทยหลังจากเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เป็นผู้หนีภัยการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งบังคับให้ประชาชนย้ายออกจากหมู่บ้าน 1,400 แห่งทางภาคกลางของรัฐฉาน ทำให้ประชาชนมากกว่า 3 แสนคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก ชาวไทยใหญ่จำนวนมากได้อพยพครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ที่มิได้อยู่ในวัยแรงงานมาในเมืองไทย


ประการที่สอง ชาวไทยใหญ่เป็น "พี่น้อง" กับคนไทย จึงผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทยได้โดยง่าย และไม่ต้องการแหล่งพักพิงหรือความช่วยเหลือใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวไทยใหญ่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในฐานะคนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เด็ก ผู้หญิง คนชรา และคนพิการ มีความต้องการแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเป็น อย่างมาก


ประการที่สาม ประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญา สหประชาชาติปี พ.ศ. 2494 ว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ลี้ภัยจึงไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ที่จะต้องให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ แต่เนื่องจากประเทศไทยมีพันธะผูกพันตามหลักกฎหมายสากลและมาตรฐานทางด้าน มนุษยธรรม ซึ่งไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทว่า ประเทศไทยกลับจัดหาที่พักพิงให้กับผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น ๆ อาทิ กลุ่มกะเหรี่ยง และกลุ่มคะยาห์ โดยละเลยกลุ่มไทยใหญ่
ประการที่สี่ หากมีการรณรงค์ให้มีการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ จะทำให้หน่วยงานที่ไม่ต้องการให้มีค่ายผู้ลี้ภัยเกิดความไม่พอใจจนทำให้มี การกวาดล้างชาวไทยใหญ่มากยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากการเรียกร้องให้มีสถานที่พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบเมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ได้รับอนุญาตให้มีที่พักอาศัยชั่วคราว และได้รับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น


ประการที่ห้า ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ขนยาเสพติด ก่อ อาชญากรรม และนำโรคติดต่อมาสู่ประเทศไทย ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ นับเป็นจำนวนน้อยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นและต้องการดิ้นรนเพื่อ ความอยู่รอดของครอบครัวที่อพยพมาทั้งหมด การจัดที่พักพิงและให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจะเป็นหลักประกันพื้น ฐานที่ทำให้ผู้ลี้ภัยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ยาเสพติดเพื่อความอยู่รอด และสามารถควบคุมปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและการก่ออาชญากรรมได้มากขึ้น


ประการที่หก การให้การรับรองสถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวไทยใหญ่จะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ ผู้ลี้ภัยจากรัฐฉานหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การแก้ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย คือ การกดดันให้รัฐบาลทหารพม่ายุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ การจัดหาค่ายให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จะทำให้รัฐบาลไทยสามารถควบคุมปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยไหลทะลักเข้ามาและอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเมื่อประเทศพม่าได้รับสันติภาพ การส่งตัวกลับจะทำได้ง่ายกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่อย่างกระจัด กระจาย


ประการที่เจ็ด ประเทศไทยต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการสร้างค่ายและการให้ความช่วย เหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวไทยใหญ่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นเงินบริจาคจากองค์กรระหว่างประเทศทั้ง สิ้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องรับภาระมีเพียงค่าจ้างบุคลากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ประการที่แปด ผู้ลี้ภัยเป็นผู้ทำลายสภาพแวดล้อม หลักฐานที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนว่า ผู้ลี้ภัยเป็นเพียงแพะรับบาปของนายทุนไทยรายใหญ่เท่านั้น และชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยถูกควบคุมเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มงวดมาโดย ตลอด


ประการสุดท้าย ค่ายจะถูกนำไปใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังของกลุ่มต่อต้านเพื่อเข้าไปใช้กำลัง ต่อสู้ในประเทศพม่า เนื่องจากสงครามกลางเมืองในรัฐฉานเกิดจากความขัดแย้งภายใน พม่า การมีค่ายผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดการดำรงอยู่ของความขัดแย้งดัง กล่าว ในทางกลับกัน การขาดแหล่งลี้ภัยและความช่วยเหลือต่าง ๆ กลับจะทำให้ชาวไทยใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น และหันกลับไปจับอาวุธปืนต่อสู้กับรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นทำให้วงจรความรุนแรงในรัฐฉานยังคงดำเนินต่อไป และทำให้มีชาวไทยใหญ่ไหลทะลักมาในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น


จากข้อมูลที่สรุปมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่เราจะนำมาตร วัดอันเดียวมาตัดสิน แต่เราคงจำเป็นต้องชั่ง ตวง วัด น้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ อย่างสมดุล โดยเฉพาะน้ำหนักระหว่าง "มนุษยธรรม" กับ "ความมั่นคง" บนเส้นเขตแดนที่มนุษย์เพิ่งกำหนดขึ้นมาภายหลัง ที่สำคัญคือ ต้องยอมรับความจริง และหันหน้าเข้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามเพิ่มขึ้น ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศไทยของเราเอง


ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า


1. การที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ ลี้ภัย ปี ค.ศ. 1951 หรือไม่นั้น มีความสำคัญมาก แต่ความรับผิดชอบ การตระหนักถึงหลักมนุษยธรรม และความจริงใจของรัฐในการแก้ไขปัญหาในด้านผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย-พม่ามี ความสำคัญมากกว่า


2. รัฐควรเพิ่มข้อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยจากการสู้รบ จากเดิมที่รัฐจะรับให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้หนีภัยความตายที่หนีภัยจากการ สู้รบที่เป็นภัยที่ถึงแก่ชีวิตโดยตรงอันเนื่องมาจากสงครามการเมืองเท่านั้น ซึ่งควรเพิ่มการพิจารณารวมไปถึงผู้ที่หนีภัยความตายในรูปแบบอื่นด้วย เช่น การหนีภัยความตายโดยอ้อม ภัยความตายโดยอ้อมนั้นได้แก่ ภัยจากการถูกข่มขืน ภัยจากการบังคับเกณฑ์แรงงาน ซึ่งการคุกคามดังกล่าวนำไปสู่การทารุณร่างกายและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขั้นรุนแรง สมควรได้รับการคุ้มครองดูแลเฉกเช่นเดียวกันผู้หนีภัยการสู้รบด้วย เนื่องจากเป็นภัยจากสงครามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน


3. การไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม ในการจัดการผู้หนีภัยการสู้รบที่เป็นชาวไทยใหญ่นั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติของรัฐบาล เนื่องจากรัฐยกเว้นชาวไทยใหญ่มิให้ได้สถานะทางกฏหมายและปฏิเสธการให้การดูแล อย่างเท่าเทียมกับผู้หนีภัยการสู้รบเชื้อชาติอื่นๆ ที่หนีภัยการสู้รบเข้ามาจากพม่า ซึ่งผู้หนีภัยการสู้รับที่เป็นชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่หนีเข้ามาล้วนได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลทหารพม่าเลวร้ายไม่แตกต่างกัน ดังนั้นรัฐควรเร่งพิจารณาการวางนโยบายในด้านการช่วยเหลือผู้อพยพที่เป็นชาว ไทยใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม


4. รัฐควรเปิดโอกาสให้ UNHCR และองค์กรเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือได้ตามความเหมาะสมภายใต้การควบคุมของ รัฐบาลซึ่งทำให้รัฐไม่ต้องรับภาระในการจัดการดังกล่าวอีกทั้งยังเป็นการร่วม กันพัฒนาพื้นที่ชนบทที่อยู่ตามแนวชายแดนอีกทางหนึ่งด้วย


5. รัฐควรมีบทบาทในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้หนี ภัยการสู้รบเชื้อชาติต่างๆที่เข้ามาในประเทศไทยทั้งในส่วนของพื้นที่พักพิง ชั่วคราว 9แห่งและผู้หนีภัยการสู้รบที่อยู่นอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่ใช้ชีวิตร่วม สังคมเดียวกันกับประชาชนไทยเพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั้งสองประเทศ เช่น ทำข้อมูลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบผ่านทางเวปไซด์ของ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและปรับปรุงข้อมูลใหม่อยู่เสมอเพื่อสร้างความ เข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งหากกลไกลของสังคมเช่น นักวิชาการ สื่อมวลชน ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเข้าใจที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงแล้วย่อมจะเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลวางนโยบายที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้


6. รัฐควรสนับสนุนให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่าง จริงจัง เนื่องจากสังคมไทยส่วนหนึ่งยังมีอคติต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศพม่าที่คนไทยมองว่าเป็นศัตรูตามประวัติศาสตร์การสู้รบสมัยกรุง ศรีอยุธยาซึ่งส่งผลให้ความรู้สึกเรื่องความเป็นชาตินั้นมีผลในระดับลึกถึง จิตใจของคนไทยและส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกและดูหมิ่นชนกลุ่มน้อยที่มาจาก ประเทศพม่าว่าเป็นคนที่ต้อยต่ำ ประกอบกับอาชีพที่ชนกลุ่มน้อยได้รับในประเทศไทยนั้นมักเป็นอาชีพใช้แรงงาน บ้างก็เป็นสาวใช้ในบ้าน ยิ่งเป็นการตอกย้ำการดูแคลนชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แทนที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความเข้าใจ ความเห็นใจและมองเห็นคุณค่าของมนุษย์ด้วยกันข้ามผ่านพรมแดนของรัฐชาติที่ถูก สมมติขึ้นมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น