ปฏิทิน

< /embed>

นาฬิกา

< /embed>

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำดีไม่ต้องเหลียว

ถ้าคุณเห็นกล่องบริจาค 2 กล่อง กล่องหนึ่งรับบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้า อีกกล่องเชิญชวนสละเงินเพื่อช่วยผู้ประสบภัยแผนดินไหว คุณจะหยอดเงินใส่กล่องไหน

คำตอบคือ ถ้าคุณคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณจะเมินกล่องที่ไม่มีเงิน แต่จะควักเงินใส่กล่องที่มีเงินบริจาคเต็มกล่อง!

นี่เป็นข้อสรุปจากการทดลองของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิดตอเรียแห่งเวลลิงตันเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยได้เอากล่องบริจาคหลายแบบมาวางไว้ในที่สาธารณะเพื่อให้คนบริจาค บางกล่องไม่มีเงินเลย บางกล่องมีธนบัตรมากแต่เหรียญน้อย บางกล่องมีธนบัตรน้อยแต่เหรียญมาก โดยมีการติดกล้องถ่ายพฤติกรรมของผู้คนในบริเวณนั้น

การทดลองนี้พบว่ากล่องไหนที่ไม่มีเงินใส่ไว้เลย คนส่วนใหญ่จะเมิน แต่จะนิยมบริจาคเงินลงในกล่องที่มีเงินอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก ยิ่งมากเท่าไร คนก็ยิ่งใส่มากเท่านั้น นอกจากนั้นยังพบอีกว่ากล่องที่มีธนบัตรมากกว่าเหรียญ จะดึงดูดให้ผู้คนควักเงินครั้งละมากๆ แต่จำนวนคนบริจาคจะลดลงตรงข้ามกับกล่องที่มีเหรียญมากกว่าธนบัตร จะเชิญชวนให้คนเข้ามาบริจาคมากขึ้น แต่มูลค่าของเงินบริจาคจะลดลง

ข้อสรุปจากการทดลองนี่ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ควักเงินบริจาคกัน หากเห็นกล่องที่มีเงินบริจาคเติมกล่องแล้วทำเมินเฉยจะรู้สึกไม่ดีมาทันที่ เช่น อาจรู้สึกผิด หรือขายหน้า แต่จะไม่สบายใจมากหากเห็นกล่องนั้นไม่มีเงินบริจาค “ก็คนอื่นเขายังไม่บริจาคเลย ฉันไม่บริจาคอีกสักคน จะเป็นไรไป” หลายคนอาจคิดอย่างนี้

การทดลองดังกล่าวบอกให้รู้ว่า พฤติกรรมของคนเรา (ซึ่งคงไม่ใช้แค่คนนิวซีแลนท่านั้น)มักจะถูกกำหนดโดยคนอื่นอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่การตัดสินใจทำสิ่งดีๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากก็ยังขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นทำก่อนแล้วกี่มากน้อย

และถ้ามองให้ลึกๆ จะพบว่า การทำความดีมักจะมีเรื่องอัตตาเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าเห็นคนอื่นทำแต่เราไม่ทำ ก็รู้สึกเสียหน้าและถ้าเห็นคนอื่นหยอดธนบัตรลงไปก็อดไม่ได้ที่จะควักธนบัตรใส่ลงไปด้วย จะหยอดเหรียญลงไปก็ดูกระไรอยู่แต่ถ้าเห็นกล่องมีแต่เหรียญ ก็รู้สึกขายหน้าเลยที่ให้เงินเหรียญเพราะคนส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน

ขอให้สังเกตดูว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เรามักจะทำโดยไม่รู้ตัวและคงไม่ใช้แค่บริจาคเงินเท่านั้นที่เราปล่อยให้คนอื่นเข้ามากำหนดพฤติกรรมของเรา โดยมีเรื่องของหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลามีคนเป็นลมทรุดกลางถนน หรือถูกทำร้ายท่ามกลางฝูงชน จึงไม่มีใครสักคนเข้าไปช่วยหรือกว่าจะเข้ามาช่วยก็ทิ้งเวลาจนเนิ่นนาน คำตอบก็เห็นจะเป็นเพราะทุกคนคอยแต่จะให้คนอื่นเข้าไปช่วย ครั้นคนอื่นนิ่งเฉย คนที่เหลือก็เลยเฉยไปด้วย โดยไม่รู้สึกผิด (“ก็คนอื่นเขายังไม่ทำอะไรเลย”)

แต่สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หากเหตุร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าคนเพียง 2-3 คน คนไม่กี่คนนั้นแหละมักจะเข้าไปช่วย เพราะถ้ายิ่งเฉย ก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ในฐานที่มีส่วนรู้เห็นกับชะตากรรมของผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว

การทำความดีโดยได้รับอิทธิพลจากผู้อื่น หรือเพราะกลัวเสียหน้า และทนความรู้สึกผิดไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำเสียเลย แต่ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งเราปล่อยให้คนอื่นมากำหนดพฤติกรรมของเรามากเกินไป จนทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น การรังเกียจหยามหยันคนบางคน เพียงเพราะว่าคนอื่นเขาก็ทำเช่นนั้นทั้งๆ ที่คนๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายเพียงแต่เขาคิดหรือทำไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ในที่นั้น เช่น ไม่เคยใส่เสื้อเหลืองเลยสักวัน) หนักกว่านั้นก็คือ ทุจริตคอร์รัปชั่น ก็เพราะใครๆเขาก็ทำกัน (“ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”)

ใครๆ ก็อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่บ่อยครั้งเรากลับยอมให้ผู้คนแวดล้อมมาบงการความคิดและพฤติกรรมของเราโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่การเงิน การแต่งกาย การช้อปปิ้ง การเที่ยวไปจนถึงการหาคู่ การเลี้ยงลูก ไม่เว้นแม้กระทั่งการจัดงานศพ การทำเหมือนคนอื่นไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่เป็นการกระทำที่รู้ตัวและเกิดจากวิจารณญาณ ไตร่ตรองด้วยเหตุผล โดยมุ่งเอาความดีงามและประโยชน์สุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเป็นที่ตั้ง

ชีวิตนี้เป็นของเรา จึงควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิใช่หรือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น